Skip to main content

22 ปีแล้ว ความรู้เรื่องเอดส์ไป (ไม่) ถึงไหน

คอลัมน์/ชุมชน

วันเอดส์โลก 1 ธันวาคมผ่านมาได้สัปดาห์กว่าๆ แล้ว เดิมทีไม่คิดว่าจะต้องมาพูดถึงประเด็นนี้กันมากนักแล้ว เพราะเรื่องของเอชไอวี/เอดส์นั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างคุ้นหูคนไทยแล้ว เพราะว่า ประเทศไทยนั้นมีการพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์เป็นรายแรกตั้งแต่ปี 2527 มาถึงวันนี้ก็ 22 ปีแล้ว ถ้าเป็นชีวิตคนคนหนึ่งก็เท่ากับเรียนหนังสือจบปริญญาตรีพอดี ทว่า จริงๆ แล้วสังคมไทยรู้จักและได้เรียนรู้เรื่องเอดส์กันมากน้อยขนาดไหนหรือเป็นแค่คำคุ้นๆ หูเท่านั้น


 


มีสิ่งที่สะดุดใจที่ต้องทำให้เก็บมาคิด (แล้วเอามาเขียน) อยู่เรื่องหนึ่งคือเห็นละครโทรทัศน์ ได้พยายามหยิบยกเอาประเด็นเอดส์มานำเสนอในตอนที่ใกล้วันเอดส์โลก ซึ่งดูจะเป็นเจตนาดี และหวังให้คนเข้าใจในผู้ติดเชื้อมากขึ้น ทว่า ยังมีฉากที่เวลาคนที่ได้ยินว่าผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะหน้าตาดี บอกว่าติดเชื้อ หนุ่มก็แหยง และวิ่งหนีกันอุตลุต และยังมีความไดอาล็อกที่พูดถึงเรื่องสำส่อน และแม้ต่อมาเปิดเผยว่า ผู้หญิงติดเชื้อเพราะถูกข่มขืน ก็ไม่ใช่คำตอบว่าจะเข้าใจการติดเชื้อเพราะทำบทให้เป็นถูกข่มขืนแล้วคนก็เลยสงสารแต่ไม่ได้เป็นความเข้าใจในเรื่องโรค


 


ภาพสะท้อนจากละครซึ่งถือว่าเป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนมาที่สุดยังมีความรู้เพียงแค่น้อยนิดในเรื่องของการติดเชื้อ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าในกระแสหลักแล้วความรู้อาจจะยังอยู่แค่นั้น  เพราะหากคนไทยได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้แล้วจริงๆ ฉากที่กลัวผู้ติดเชื้อจะต้องไม่มีแล้วในประเทศไทย ถึงแม้ว่าตอนท้ายละครจะทำให้คนเข้าใจในผู้ติดเชื้อ นอกจากนั้นในละครก็ยังสะท้อนว่า การตีตรากับผู้ติดเชื้อก็ยังคงอยู่จากไดอาล็อกที่ใช้ในละคร


 


ทั้งนี้  หากความรู้ในระดับสาธารณะเรื่องการติดเชื้อมีมากกว่านี้ บทละครควรจะเปลี่ยนเป็นการพูดถึงเรื่องการดูแลรักษากัน ควรพูดถึงประเด็นยาต้านไวรัส หรือปัญหายาแพงที่ทำให้ผู้ติดเชื้อที่มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงยาได้  แทนที่จะยังคงพูดถึงว่าติดเชื้อเพราะอะไรกันอยู่ (เพราะจริงๆ แล้วโอกาสเสี่ยงของการติดเชื้อก็ยังคงเหมือนเดิม คือจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน)


 


หลังจากเรื่องละครผ่านไป อีกสองวันต่อมามีน้องคนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์และมีการศึกษาค่อนข้างสูง และทำงานในแวดวงสื่อสารมวลชนด้วย ได้พูดคุยกันในประเด็นเรื่องเอชไอวี/เอดส์ว่า " พี่ๆของผมที่เป็นหมอเป็นพยาบาล บอกผมว่า ถุงยางน่ะป้องกันการติดเชื้อไม่ได้จริงหรอก แม้ว่าจะใส่สองชั้น สามชั้นก็ตาม"


 


ได้ฟังแล้วก็สะอึกนิดหน่อย ว่าหมอพูดอย่างนี้จริงๆ หรือว่าน้องชายคนนี้ฟังไม่ได้ศัพท์ แล้วมาทึกทักเอาเอง  ก็เลยตอบไปว่า นี่ ถ้ายังพูดเรื่องใส่ถุงยาง 2 ชั้นอยู่แสดงว่า มีความเข้าใจผิดในเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยอยู่มากเลยนะน้อง  พร้อมกับคุยกับน้องเขาเพิ่มเติมไปว่า ใส่สองชั้นน่ะอันตรายแน่นอน เพราะมันจะเสียดสีกันมากขึ้นทำให้รั่วซึมได้  ดังนั้น ถุงยางอนามัยน่ะใส่ทีละชิ้นถึงจะป้องกันได้ แล้วก็เลยบอกต่อว่า แล้วเรื่องสารหล่อลื่นอีกนะก็ใช้แบบที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ เช่น เค วาย เจล  อย่าไปใช้โลชั่น น้ำมันทาผิว หรือ ครีมทาผมเป็นสารหล่อลื่นกับถุงยาง เพราะว่ามีน้ำมันเป็นส่วนผสมจะทำให้ถุงยางแตกหรือรั่วได้  น้องคนนั้นก็บอกว่า "เออ นี่เป็นเรื่องใหม่ของผมมากเลยครับ เพราะเห็นเพื่อนผมบอกว่า เคยใช้วาสลิน น่ะ จริงๆ แล้วใช้ไม่ได้ใช่มั้ยครับ"


 


ที่เล่าสู่กันฟังตรงนี้ไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าคนทำละครเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ หรือเป็นน้องคนนี้เท่านั้นที่ไม่มีความรู้  เพียงแต่อยากจะชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงกันขนาดไหนแต่คนไทยก็ยังมีความรู้เรื่องเอดส์กันน้อยอยู่ ทั้งในเรื่องของการป้องกัน และการดูแลรักษา  รวมทั้งไม่ได้จะกล่าวหาว่าการทำงานเอดส์ในประเทศไทยนั้นไม่ได้ผล  เพราะจริงๆ แล้วภาพความสำเร็จก็มีอยู่บ้าง เพียงแต่มีคำถามที่อยากจะทบทวนดูด้วยตัวเองว่า 22 ปีนี้ เกิดอะไรขึ้นบ้างกับประเทศไทยในเรื่องของการทำงานเอดส์ ทั้งที่มีการทำงานเรื่องการป้องกันและดูแลรักษาเอดส์  มีเอ็นจีโอมากมายทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาโรคเอดส์  มีสำนักโรคเอดส์ของกระทรวงสาธารณสุขที่มาดูแลงานด้านนี้โดยเฉพาะ รวมทั้งได้รับการยอมรับชื่นชมในเวทีเอดส์โลกระดับสากลหลายครั้งว่าประเทศไทยนั้นมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในการทำงานเอดส์


 


ทว่า  ประเทศไทยก็ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีกปีละประมาณ 20,000 คน ภาพของคนทั่วๆ ไป พอได้ยินคำว่าใครติดเชื้อก็ยังรู้สึกแปล๊บ แปลกหรืออะไรซักอย่างขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ต่างจากที่รับรู้ว่า คนนี้เป็นโรคอื่นๆ  เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยหรือการศึกษาไทยหรือเปล่า?


 


และสุดท้าย คำถามคลาสสิคก็ยังไม่หายไปจากสังคมไทย "พี่ๆ ยุงกัด ติดมั้ย"


 


เฮ้อ!