Skip to main content

"คลื่นใต้น้ำ" (แล้วไง?)

คอลัมน์/ชุมชน

ถึงนาทีนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า "คลื่นใต้น้ำ" (ซึ่งเดิมน่าจะหมายถึงกลุ่ม/ผู้คนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคมช.และรัฐบาลของเขา แต่ที่ต้องเรียกว่า "คลื่นใต้น้ำ" เพราะเป็นพลังที่ยังไม่แสดงตัว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะขี้อาย, กลัวปืนกลัวรถถัง หรือแสดงตัวตามอัตภาพและยถากรรมแล้วแต่ข่าวก็ไม่ยอมออก) ได้ถูกนิยามใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยชี้ชัดไปที่ผู้สนับสนุนรัฐบาลเดิม ซึ่งถูกคปค.ทำการรัฐประหารโดยสันติและอาวุธสงครามขับไสออกไปหลังจากได้รับการเลือกตั้งมาหมาดๆ


 


ปรากฏการณ์ที่ยืนยันการนิยามใหม่ ก็คือผู้คนจำนวนมากซึ่งถูก "รัฐประหาร 19 กันยา" ทำให้ต้องแนะนำตัวกับสาธารณะโดยสม่ำเสมอว่า "ฉันชื่อ…ไม่ใช่ไทยรักไทยและไม่ชอบทักษิณ" ต้องหันมาปรับเปลี่ยนการแนะนำตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เป็น "ฉันชื่อ…ไม่ใช่คลื่นใต้น้ำ" แทน


 


ตัดฝ่ายหนุนคมช. ออกไปก่อน (อย่าลืมตัด "ภาคประชาชน" ที่เพิ่งออกมาเปิดเผยว่าเป็น "มิตร" กับคมช.ออกไปด้วย), เพราะที่น่าสนใจกว่าคือ กลุ่ม/ผู้คนที่ออกมาเคลื่อนไหว "ต่อต้านรัฐประหาร" และชุมนุมท้าทายกฎอัยการศึกอยู่เนืองๆ ข้อเท็จจริงคือที่ผ่านมาแทบทั้งหมดของคนเหล่านี้(รวมทั้งผู้เขียนเองด้วย)มักไม่ลืมที่จะบอกกับสาธารณะเช่นกันว่า "ฉันไม่ใช่(และไม่ชอบ)คนของทักษิณ-พรรคไทยรักไทย"


 


ในแง่หนึ่ง คือ การป้องกันความดูหมิ่นเกลียดชังอันเกิดจากเข้าใจผิด-การป้ายสีจากฝ่ายที่หนุนการรัฐประหารและคมช. ซึ่งอันที่จริงการบอกว่าตัวเองเป็นใคร (หรือไม่ใช่ใคร) เป็นสิทธิเสรีภาพเท่าๆ กับการออกมาบอกทรรศนะทางการเมืองของตัวเอง แน่นอนว่าไม่มีใครอยากถูกเข้าใจว่าเป็นอะไรที่ตัวเองไม่ได้เป็น และไม่ได้อยากเป็น


 


แต่ในอีกแง่หนึ่ง การผลิตซ้ำประโยคเหล่านี้ได้ช่วยโอบอุ้ม-ตอกย้ำวาทกรรม "การเมืองของอภิสิทธิ์ชน" (ที่ธงชัย วินิจจะกูล เรียกว่า "อภิชนาธิปไตย") ใช่หรือไม่?


 


กล่าวคือ ขณะที่เรา (เพื่อให้ฟังดู "สมานฉันท์" ขออนุญาตใช้คำนี้ไปพลางก่อน แม้จะเชื่อว่า หลังจากจบบทความนี้แล้ว จะมีคนเลิกนับญาติกับผู้เขียนเป็นจำนวนไม่น้อย) โจมตีการกระทำของคมช.และรัฐบาลรวมทั้งผู้สนับสนุน ว่ากำลังปฏิรูปการเมืองให้เป็นของคนบางกลุ่ม-บางชนชั้น ใช่หรือไม่ว่าเราเองก็กำลังร่วมขีดเส้นแบ่งระดับสิทธิทางการเมืองเช่น - กีดกันคนอื่นออกไปจากพื้นที่ทางการเมืองเช่นกัน โดยใช้ทรรศนะทางการเมืองเป็นตัวแบ่งแยก?


 


เราบอกเสมอว่า


เราชิงชังการรัฐประหาร เพราะมันทำลายกติกาประชาธิปไตย


เราเกลียดกฎอัยการศึก เพราะมันลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน


 


เราบอกว่าเรามีสิทธิชุมนุม-เคลื่อนไหวทางการเมือง จะมากกว่าน้อยกว่าห้าคนก็เรื่องของเรา เพราะเป็นสิทธิของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย แต่ขณะเดียวกันเราก็บอกด้วยว่าเราไม่ใช่ "พวกนั้น" ?


 


เมื่อฝ่ายมีอำนาจรัฐขู่ว่าจะจัดการกับ "คลื่นใต้น้ำ" ที่เคลื่อนไหว เราก็บอกว่าเราไม่กลัว เพราะเราเป็นประชาชน เราทำตามกติกาประชาธิปไตย …และเราไม่ใช่ "คลื่นใต้น้ำ" (อย่าเหมารวมเรากับ "พวกนั้น")


 


แน่นอนว่า เราไม่เคยพูดออกมา (ตรงๆ) ว่า "คลื่นใต้น้ำ" / "พวกนั้น" ไม่มีสิทธิทางการเมือง


แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เราจะบอกว่า ภายใต้ระบอบการปกครองเดียวกันนี้ "คลื่นใต้น้ำ" / "พวกนั้น" มีสิทธิเท่าๆ กับเรา


 


เราไม่เคยพูดชัดๆ สักทีว่า แม้ทรรศนะทางการเมืองของ "คลื่นใต้น้ำ" / "พวกนั้น" จะแตกต่างกับเรา หรือจะถูกจะผิดขนาดไหน การชุมนุมเคลื่อนไหวของเขาก็ชอบธรรมเท่าๆ กับของเรา


 


แม้แต่ "เรา" บางส่วน ที่เคยร่วมขับไล่ทักษิณกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่เคยบอกเลยว่า "คลื่นใต้น้ำ" หรือใครก็ตามมีสิทธิ์ชุมนุม "เชียร์ทักษิณ" หรือแม้แต่ "เรียกทักษิณ" เช่นเดียวกับที่ "เรา"บางส่วนเคยใช้สิทธิ์นี้ "ไล่ทักษิณ" ออกไป


 


นัยก็คือ "เรา" กำลังบอกว่า "เขา" / "คลื่นใต้น้ำ" / "พวกนั้น" ไม่มีความชอบธรรมในการชุมนุม และ/หรือ "เรา" เท่านั้น คือการเคลื่อนไหวที่ "ชอบธรรม" ?


 


เราก็กำลังบอกว่า สิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรี และพื้นที่ในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนแต่ละกลุ่มมีไม่เท่ากัน ?


 


"คลื่นใต้น้ำ" แล้วไง? ทรรศนะทางการเมืองของ "เรา" และ "เขา" / "คลื่นใต้น้ำ" / "พวกนั้น" อาจแตกต่างกันราวเหวกับหลุม(ลึกกว่า-ตื้นกว่า ว่าอย่างนั้นเถิด) แต่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ใครก็ควรมีสิทธิ์แสดงทรรศนะทางการเมืองของตัวเองต่อสาธารณะได้ ไม่ว่าทรรศนะนั้นมันจะแตกต่างหรือน่าหมิ่นแคลนเพียงใดในสายตาคนอื่น -- มิใช่หรือ?


 


ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เมื่อเกิดความแตกต่างทางทรรศนะ อุดมการณ์ เราสามารถเถียงกันได้ สู้กันได้ ภายใต้กติกาประชาธิปไตย -- มิใช่หรือ?


 


 "ผลประโยชน์" (ซึ่งจริงๆ แล้วคือวาทกรรมที่รัฐใช้ป้ายสี-กดหัวเรามาตลอด) เราบอกว่าเราทำไปเพื่อ "ผลประโยชน์ของชาติ" ขณะที่ "เขา" / "คลื่นใต้น้ำ" / "พวกนั้น" เป็น "พวกเสียประโยชน์" หากออกมาเคลื่อนไหวก็ทำไปเพราะ "ผลประโยชน์ส่วนตัว" (สูญเสียพลัดพรากจากคนที่รัก สูญเสียสิทธิโอกาสในการได้บุคคลที่พึงพอใจมาบริหารประเทศ ทั้งที่อุตส่าห์สูญเสียเวลาออกไปกาบัตรเลือกตั้ง)


 


ถ้าระบอบประชาธิปไตยห้ามผู้เสียประโยชน์ส่วนตัวชุมนุมเคลื่อนไหว เราก็ควรไปบอกชาวบ้านให้เลิกค้านเขื่อน ท่อก๊าซ เหมือง ฯลฯ ให้รู้แล้วรู้รอดกันเสียที แต่ข้อเท็จจริงที่ "เรา" ต่างรู้กันดีก็คือ ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มีพื้นที่ให้คนซึ่งผลประโยชน์ขัดกัน สามารถเถียงกันได้ สู้กันได้ในกติกา -- มิใช่หรือ? แน่นอนว่า ถ้าหากเป็น "ผลประโยชน์" ที่ทุจริต ก็ต้องว่ากันให้ชัด เช่นเดียวกับ-


 


ม็อบจัดจ้าง เป็นเรื่องที่ต้องแยกแยะและตรวจสอบ ที่ผิดกฎหมายก็ต้องจัดการตามกฎหมาย


แต่ต้องไม่ใช่เหมาคลุมแล้วกาหน้ากีดกัน(อย่างที่หลายรัฐบาลกาหน้าเรามาหลายครั้งหลายหน)


 


ฯลฯ


 


ถ้าเราไม่เห็นด้วย – รังเกียจ การสับปลับหลายมาตรฐานของอดีตแกนนำพันธมิตรฯ ที่ออกมาชี้นิ้วเหยียดหยามและกีดกันสิทธิทางการเมืองของคนอื่น แต่อธิบายว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำ(จนสำเร็จ!)มาหยกๆ เป็นสิทธิอันชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย


 


ถ้าเราชิงชังความไร้หลักการ แบบ "อะไรก็ได้ ขอให้อยู่ตรงข้ามกับทักษิณ"


 


ถ้าเราต่อต้านการกีดกันให้การเมืองเป็นของคนแค่บางกลุ่ม บางชนชั้น ซึ่งทำลายความชอบธรรมในการมีส่วนร่วมของคนกลุ่มอื่น


 


ถ้าเราเชื่อใน "ประชาธิปไตย" และเคารพในหลักการที่ว่า สิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรีประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน จริงๆ


 


เราก็ต้องยอมรับว่า "คลื่นใต้น้ำ" เป็น "ประชาชน" เท่าๆ กับเรา


 


และภายใต้นิยาม "ประชาชน" ไม่ว่า "เรา" "เขา" หรือ "ใคร" ก็ควรจะมีสิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน


ตราบที่เรายังรักจะอ้าง "ประชาธิปไตย" กันอยู่.


 


หมายเหตุ


ต้องขอสารภาพว่า ที่ผ่านมา บรรยากาศอันสงบและสมานฉันท์ รวมทั้งการกาหน้า-ป้ายสีของหลายฝ่าย ทำให้ผู้เขียนเองก็ "เมาหมัด" และหลงลืมประเด็นสำคัญนี้ไปเช่นกัน กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ได้สนทนากับคุณชัยธวัช ตุลาฑล - เพื่อนผู้เนรเทศตัวเองไปอยู่นอกราชอาณาจักรตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร – ซึ่งได้ช่วยเรียกสติ และชี้ประเด็นอันสำคัญนี้ ขอขอบคุณไว้อีกครั้งหนึ่งครับ