"สิ่งที่ฉันอยากทำ" และ "สิ่งที่ฉันควรทำ"
คอลัมน์/ชุมชน
นักคิด
ที่คิดเกี่ยวกับเรื่องภายในของมนุษย์อย่างจริงจังคนหนึ่ง ได้พูดเอาไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีโลกภายในอยู่ 2 โลก นั่นคือโลกของอารมณ์และความรู้สึก กับโลกของเหตุผลและสติปัญญา ทับซ้อนกันอยู่ภายใน แล้วยังขยายความต่อไปอีกว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งทำสิ่งต่าง ๆ ไปตามอำนาจของโลกใบแรก นั่นคือทำไปตามอำนาจของอารมณ์และความรู้สึก เขาเรียกคนที่ทำตามอำนาจนี้ว่า
คนที่ทำ "สิ่งที่ฉันอยากทำ"
ส่วนคนที่ทำสิ่งต่าง ๆ ไปตามอำนาจของโลกใบที่สอง คือทำไปตามอำนาจของเหตุผลและสติปัญญา
เขาเรียกคนที่ทำตามอำนาจนี้ว่า คนที่ทำ "สิ่งที่ฉันควรทำ"
ผมมีเพื่อนหญิงรุ่นน้องคนหนึ่ง
เธอเป็นสาวสวยระดับเฉียดดารา ฐานะปานกลาง ค่อนข้างเฉลียวฉลาดและชอบความหรูหรา ตามประสาผู้หญิงที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนสวยทั่ว ๆ ไป อะไรๆ ที่ประกอบเป็นตัวตนของเธอโดยภาพรวม ล้วนแล้วแต่ดูดีไปหมด
แต่เธอมีนิสัยเสียที่แก้ไม่หายอยู่อย่างหนึ่ง จะเป็นเพราะว่ายังไม่เคยคิดจะแก้ไข หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือ เวลาเธอเกิดถูกอกถูกใจ อยากได้อะไรสักอย่างหนึ่งขึ้นมา ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่อยากได้ ถ้าหากมีช่องทางที่จะทำให้เธอได้มันมาเป็นเจ้าของ เธอจะรีบเดินเข้าไปไขว่คว้าเอาในทันทีทันใด ประมาณว่า ข้าเห็นแล้ว ข้าอยากได้ ข้าเอาได้ ข้าต้องเอาไว้ก่อน เรื่องจิ๊บจ๊อยอื่น ๆ ค่อยว่ากันภายหลัง
ซึ่งบางครั้งก็ได้มาโดยง่าย บางครั้งก็ได้มาค่อนข้างยาก แต่เธอมักจะได้มันมาเป็นเจ้าของแทบทุกอย่างที่เธออยากได้ และไม่เคยสะดุดกับอะไรอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่เธออยากได้ คงมิใช่สิ่งที่ใหญ่โตเกินกำลังฐานะของเธอนั่นเอง
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้
เธอบังเอิญเดินไปพบรถยนต์มือสองคันหนึ่ง ที่เต็นท์ขายรถข้างถนน เธอเกิดถูกอกถูกใจรถยนต์คันนี้เป็นอย่างมาก และติดตามมาด้วยความอยากได้มันมาเป็นเจ้าของอย่างรุนแรง หลังจากแวะเวียนไปลูบ ๆ คลำ ๆ รถคันนี้เพียง 2-3 ครั้ง เธอก็ตัดสินใจรีบซื้อรถคันนี้ในระบบเงินผ่อน เพราะไม่มีเงินสดซื้อในราคาที่ถูกกว่า เหตุที่ต้องรีบซื้อก็เพราะกลัวคนอื่นจะมาชิงซื้อตัดหน้า
โดยไม่มีเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องคนใดกล้าปริปากคัดค้าน เพราะทุกคนที่ได้เห็นอาการอยากได้รถคันนี้ของเธอ ออกอาการถึงขนาดว่า ถ้าตูข้าไม่ได้รถคันนี้มาเป็นเจ้าของ โลกนี้ทั้งโลกจะต้องถล่มทลายลงมาต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน ทุกคนจึงได้แต่เออออห่อหมกตามไปด้วย แม้แต่แฟนของเธอที่รู้เรื่องรถดี และทำท่าจะไม่เห็นด้วย ก็ต้องรีบหุบปากเงียบ
จากนั้น เธอก็รวบรวมเงินเก็บทั้งหมดที่สะสมเอาไว้สี่หมื่นกว่าบาท ไปจ่ายเงินดาวน์ล่วงหน้าตามเงื่อนไข แล้วถอยรถคันนี้ออกมา พร้อมกับภาระต้องจ่ายเงินผ่อนเดือนละสองพันห้าเป็นเวลาสองปี แล้วเธอก็ได้มันมาครอบครองเป็นเจ้าของ ถึงแม้จะยังไม่เด็ดขาด แต่ก็สาสมใจเธอเป็นยิ่งนัก
แรก ๆ ที่เธอได้รถคันนี้มาครอบครอง
ชีวิตเธอมีแต่ธุระที่ต้องขับรถคันนี้ไปที่โน่นที่นี่ หรือไม่ก็เที่ยวไปเยี่ยมเยียนคนโน้นคนนี้ ถ้าไม่มีก็หาเรื่องให้มันมีที่ไปให้ได้ แม้กระทั่งผมที่อยู่ละแวกเดียวกัน เธอก็ยังอุตส่าห์ขับมันมาเยี่ยมผม ทั้งที่บ้านเราอยู่ห่างกันไม่กี่สิบเมตร ซึ่งตามปกติจะใช้มอเตอร์ไซค์ จักรยาน หรือไม่ก็เดินออกกำลังกายไปมาหาสู่กันไม่ถึง 10 นาที
เธอวนเวียนมีความสุข อยู่กับการขับรถคันนี้ฉุยฉายไปที่โน่นที่นี่ได้ไม่ถึง 3 เดือน รถก็เกิดเสียจนต้องเข็นเข้าอู่ตามธรรมดาของรถเก่า แต่มันน่าตกใจตรงที่ว่า เมื่อบิลล์รายการค่าซ่อมรถคันนี้ใบแรกออกมา เธอต้องหาเงินถึงหนึ่งหมื่นสองพันกว่าบาท ไปจ่ายค่าอะไหล่และค่าแรงงานช่าง
ผมไม่รู้ว่าเธอเคลียร์ปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร รู้แต่ว่าตั้งแต่นั้นมาเธอค่อย ๆ ใช้รถคันนี้น้อยลง เพราะนอกจากค่าน้ำมันรถจะแพงเหมือนทองคำแล้ว เธอค่อย ๆ พบด้วยตัวเองต่อมาอีกว่า เวลาขับรถคันนี้ออกจากบ้านทีไร มันมักจะมีอาการขัดข้องเสียโน่นเสียนี่ ต้องแวะเข้าอู่ซ่อมครั้งละไม่ต่ำกว่าหลักพันขึ้นไป จนเธอนึกหวาดผวาที่จะเปิดประตูเข้าไปนั่งขับรถคันนี้ วันหนึ่งเธอจึงตัดสินใจจอดมันไว้ในโรงรถเฉย ๆ
เพราะเธอคงสรุปได้แล้วว่า คนที่ทำธุรกิจเล็ก ๆ อยู่ในบ้านอย่างเธอ แค่มีมอเตอร์ไชค์คันหนึ่งไว้ใช้ก็เหลือจะเพียงพอแล้ว ไม่เห็นมีความจำเป็นใด ๆ ต้องใช้รถยนต์ให้ตัวเองยุ่งยากเดือดร้อน เพราะการมีรถยนต์เพื่อขับออกไปโน่นไปนี่ในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระการงาน หรือมีเพื่อเสริมบุคลิกภาพของตัวเองให้แลดูโดดเด่นและน่าเชื่อถือในสังคม มันเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย กับเงินที่ต้องจ่ายให้มันจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว
ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ เมื่อเธอตัดสินใจประกาศขายรถคันนี้ ในราคาที่เปิดโอกาสให้ต่อรองได้แบบสะดวกสบาย เพื่อจะได้ผลักภาระที่ต้องจ่ายเงินผ่อนเดือนละสองพันห้า ซึ่งยังคงค้างอยู่เป็นปี ก็ไม่ปรากฏว่ามีคนสนใจอยากซื้อแม้แต่รายเดียว เพราะเป็นรถยี่ห้อที่คนเขาไม่นิยมใช้กัน แถมอาหลั่ยยังแพงและหายาก เธอจึงได้แต่ทนกัดฟันจ่ายเงินเดือนละสองพันห้า ให้กับรถที่อยากได้เหลือเกิน แต่เมื่อได้มาแล้วกลับขับไม่ได้ ประกาศขายก็ไม่มีคนซื้อ ด้วยเหตุผลดังกล่าว
เรื่องที่ผมเล่าให้คุณฟังนี้
ถึงผมไม่บอกคุณก็คงรู้ ว่ามันเป็นเรื่องของคนที่อยู่ในโลกของคนที่ทำ "สิ่งที่ฉันอยากทำ" ตามอำนาจ อารมณ์และความรู้สึกล้วน ๆ เรื่องมันจึงต้องเป็นเช่นนี้ และจากเรื่องเดียวกัน เราสามารถอธิบายโลกใบที่ 2 ซึ่งเป็นโลกของคนที่ทำ "สิ่งที่ฉันควรทำ"ได้เช่นกัน นั่นคือ สมมุติว่าเธอเกิดความอยากได้รถคันนี้ขึ้นมา แต่ปรากฏว่าเธอยังมีสติยับยั้งชั่งใจ เก็บไปนั่งคิดนอนคิดเป็นเหตุเป็นผลจนสรุปได้ว่า ไม่ว่ารถคันนี้ จะมีคุณค่าความหมายต่อความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งของเธอสักเท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อมาแล้ว จะต้องมีเรื่องเดือดร้อนติดตามมาภายหลังอย่างที่เธอกำลังเดือดร้อนอยู่ เธอจึงตัดสินใจไม่ซื้อ
นั่นแสดงว่า
ซึ่งเป็นเรื่องของคนที่อยู่ในโลกของการใช้เหตุผลและใช้สติปัญญา
และจากนักคิดคนเดียวกัน
อีกนั่นแหละที่ประเมินคุณค่าและสรุปเรื่องนี้เอาไว้ว่า คนที่ยังไม่รู้จักความแตกต่างระหว่าง "สิ่งที่ฉันอยากทำกับ สิ่งที่ฉันควรทำ" นั่นคือรู้แต่สิ่งที่ฉันอยากทำ และคอยทำแต่สิ่งที่ฉันอยากทำอยู่ร่ำไป ย่อมมีระดับความเป็นมนุษย์เท่ากับสัตว์ ที่กระทำทุกอย่างไปตามแรงขับของสัญชาติญาณ นั่นคือยังเป็นมนุษย์ที่ไม่เป็นอิสระ เพราะยังเป็นทาสของอารมณ์และความรู้สึก เช่นเดียวกับสัตว์ที่เป็นทาสของสัญชาติญาณ
แต่เมื่อเขามีเหตุผลและสติปัญญา สามารถแยกแยะและรู้จักความแตกต่างระหว่างคนที่ทำ "สิ่งที่ฉันอยากทำ"กับคนที่ทำ"สิ่งที่ฉันควรทำ" ด้วยสำนึกผิดชอบชั่วดี ที่รู้ว่าทำไปแล้ว จะทำให้ตัวเองและคนอื่นเขาเดือดร้อนอย่างไร
นั่นแสดงว่า เขาได้ยกระดับคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ที่มีค่าเท่ากับสัตว์ หลุดพ้นออกมาจากความเป็นทาสอารมณ์และความรู้สึก เป็นมนุษย์ที่เป็นอิสระ และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เพราะเขาสามารถที่จะคิด สามารถที่จะแยกแยะคุณค่า บาป บุญ คุณ โทษ ผิด ถูก ชั่ว ดี สามารถที่จะเลือกและตัดสินใจ หักห้ามได้ แม้กระทั่งความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งของตัวเอง
ว่ากันว่า คนที่ทำอะไรสักอย่างหนึ่งลงไปแล้ว ภายหลังเกิดความรู้สึกผิด นั่นแสดงว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำลงไปแล้ว เรื่องนี้คนที่ชอบดื่มแบบเฮฮาปาร์ตี้สุดเหวี่ยงทุกคนมักจะรู้ดี เวลาตื่นขึ้นมาในยามรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง แล้วเกิดอารมณ์ซึมเศร้า - รู้สึกผิดและอยากตาย เพราะมานึกได้ว่าเมื่อคืนเมาแล้วขาดสติ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำไปมากมายหลายอย่าง
ผมเก็บมาคิดดูแล้ว
คนที่ดำเนินชีวิตไปตามโลกของเหตุผลและสติปัญญานี่ ชีวิตคงจะมีแต่ความปรกติสุขและปลอดภัย และคนที่อยู่ในโลกแบบนี้อย่างเคร่งครัด ย่อมเป็นคนที่แลดูสูงส่งและน่านับถือเป็นอย่างยิ่ง แต่ให้ตายเถอะ!
คนที่ยังหนาด้วยกิเลสอย่างผม ไม่อยากเข้าไปอยู่ในโลกใบนี้สักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นโลกที่แห้งแล้งและปราศจากความมีชีวิตชีวาสิ้นดี ! เดินไปทางไหน ดูเหมือนจะไปสดุดเอาแต่คำว่า บาป บุญ คุณ โทษ ผิด ถูก ชั่ว ดี ล้มระเนระนาดไปตลอดทาง
แต่ก็นั่นแหละ (ว่ะ)
ไม่ว่าคุณ-ผม หรือใคร ๆ จะไม่ชอบโลกที่น่าเบื่อใบนี้สักเพียงใดก็ตาม แต่เราก็จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในโลกของคนที่ทำ "สิ่งที่ฉันควรทำ"อยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้คนและสังคม หรือเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญและใหญ่โต หาไม่เช่นนั้น ชีวิตก็จะมีแต่เรื่องเดือดร้อนติดตามมาภายหลัง เหมือนเพื่อนรุ่นน้องของผมที่สวมวิญญาณคนที่ทำ "สิ่งที่ฉันอยากทำ" ซื้อรถคันนั้น
ซึ่งต่อมาภายหลังผมแว่ว ๆ ได้ข่าวว่า เธอได้เปลี่ยนชื่อรถที่เธออยากได้เหลือเกิน แต่ซื้อมาแล้วกลับขับไม่ได้ขายไม่ออก แถมยังต้องทนกัดฟันจ่ายเงินให้มันเดือนละสองพันห้าอีกเป็นปี จากชื่อเดิมที่ตั้งเอาไว้ในตอนแรกที่ซื้อมาใหม่ๆ ว่า "หวานใจที่รัก"เป็น "ไอ้ชาติชั่ว" ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่อย่างไร ๆ ผมก็แน่ใจว่า บทเรียนที่เจ็บปวดและราคาแพง จนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวบทนี้ คงจะทำให้เธอลดรานิสัย อยากได้อะไรต้องเอาให้ได้ โดยไม่คิดหน้าคิดหลังลงมิใช่น้อย และคงรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง "สิ่งที่ฉันอยากทำ" และ "สิ่งที่ฉันควรทำ" อย่างลึกซึ้งเป็นที่สุด.