Skip to main content

ช๊อปปิ้งวันหยุด

คอลัมน์/ชุมชน

วันที่ 11 .. ได้หยุดเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งที่วันที่ 5 ที่ผ่านมาก็หยุดราชการเช่นกัน แต่ไม่ได้หยุดเพราะต้องพาแม่ไปเยี่ยมยายที่พักฟื้นหลังผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบเมื่อเดือน พ..ที่ผ่านมา นับว่ายายเป็นมนุษย์เหล็กคนหนึ่งที่ผ่านการผ่าตัดในวัยขนาดนี้ได้ เล่นเอาลูกหลานหวาดเสียวกันพอดู

ดังนั้น เมื่อได้หยุดชดเชยโดยที่ไม่ต้องไปทำหน้าที่ลูกหลานที่ดี ผู้เขียนจึงทำหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ดีคือซ่อมแซมบ้านช่องของตนเอง และเตรียมช๊อปปิ้งของใช้ต่างๆ ที่มากกว่า "สินค้ายังชีพ" ตอนเช้าจึงต้องวุ่นวายกับการช่วยช่างที่มาช่วยดูและซ่อมแซมบ้านให้ เป็นโชคดีที่เจ้าหน้าที่ดูแลอาคารสถานที่คนหนึ่งของนิด้าบอกว่าจะมาช่วยให้นอกเวลาราชการ แต่ก็ต้องนัดกันล่วงหน้า เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือที่เรียกว่าน้ำใจจริงๆ ต้องขอบคุณช่าง เพราะช่างข้างนอกทั่วไปนั้นงานเล็กน้อยแบบนี้ ไม่มีใครมาทำให้ นอกจากนี้การเป็นพนักงานของรัฐธรรมดาอย่างผู้เขียนไม่มีบุญญาบารมี ทำให้การขอความช่วยเหลือใดๆหรือแม้จะหาช่างใดๆมาช่วยงานถือว่ายาก อันนี้ยอมรับว่าลำเค็ญกว่าชีวิตในสหรัฐฯที่ราคาค่าแรงอาจแพงกว่าแต่ก็พอหาช่างมาช่วยงานได้บ้าง


กว่างานซ่อมบ้านและตัดต้นไม้บางส่วนจะเสร็จก็เลยเที่ยงไปแล้ว ผู้เขียนได้ทานข้าวเที่ยงตอนนั้น จากนั้นก็ทำความสะอาดบ้าน เมื่อเสร็จก็ออกไปซื้อของที่ตนเองต้องการซึ่งได้แก่ เครื่องรับโทรศัพท์อัตโนมัติ ก่อนหน้านี้ได้พยายามเสาะหาเครื่องดังกล่าวนี้ตามห้างบางแห่งพบว่าไม่มี สืบถามชาวบ้านจึงรู้ว่าคนไทยไม่นิยมใช้ หลายคนอ้างว่ามีมือถือแล้วตามตัวกันได้ บางคนอ้างว่าดีแล้วที่ตามตัวไม่ได้และไม่ต้องการให้มีการฝากข้อความบอกว่าให้ติดต่อกลับ ว่าไปแล้วนึกถึงแม่ผู้เขียนที่มีมือถือสามเครื่องแต่จะเปิดใช้ต่อเมื่อตนจะโทฯออกและปิดเครื่องตลอดเวลา ตราบจนวันนี้ผู้เขียนยังไม่รู้เบอร์มือถือของแม่สักเบอร์ พูดง่ายๆ แม่มีมือถือไว้ตามคน แต่ไม่ให้ใครมาตามแม่ นี่คือนิสัยของคนบางคนที่ชอบแสดงอำนาจอย่างง่ายๆคือ "ฉันเป็นคนมีอำนาจและฉันตามแก ไม่ใช่แกตามฉัน" รู้มาว่ามีคนเป็นแบบนี้มากในสังคมไทย ไม่รู้จะบ้าอำนาจแบบแปลกๆกันไปทำไม (งานนี้ขอนินทาแม่หน่อยเถอะ)


ผู้เขียนมีมือถือสองเครื่องจากสองบริษัท เพราะเผื่อเครือข่ายอันใดอันหนึ่งล่ม จะได้ไม่ขาดช่องทาง แต่ที่เคยเป็นมาคือพังมันทั้งสองเครือข่าย เล่นเอาบื้อไปพักหนึ่งเหมือนกัน มือถือเครื่องแบบโพสต์เพย์ของผู้เขียนมีบริการรับฝากข้อความ แต่ว่าผู้เขียนไม่ค่อยให้เบอร์นี้แก่ใคร โดยเฉพาะนักศึกษาทั่วไปที่ไม่มีธุระจำเป็น และผู้เขียนก็ไม่ได้พกพาเข้าห้องเรียนตอนสอนหนังสือ เพราะได้เตือนเด็กไว้ว่าห้ามเปิดสัญญาณเป็นอันขาดในห้องเรียน ดังนั้น ถ้าด่าเค้าแล้ว เราก็ต้องไม่ทำเช่นกัน เครื่องรับโทรศัพท์อัตโนมัติที่ใช้สำหรับโทฯพื้นฐานจึงมีความจำเป็นมากในการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่มีเบอร์มือถือของผู้เขียนและต้องใช้บริการของผู้เขียน


กว่าจะรู้ว่ามีขายที่ไหน ผู้เขียนใช้เวลาเป็นอาทิตย์ เลยรู้ว่าซื้อที่พาวเว่อร์บาย เซ็นทรัลลาดพร้าว (อันนี้จะได้ค่าโฆษณามั้ยนี่) เนื่องจากปกตินี่จะไม่ซื้อของพวกนี้เอง มีเพื่อนหรือเจ้าหน้าที่ดูแลให้ เพราะพบว่ามาเมืองไทยนี่ของบางอย่างที่เราอยากได้ไม่มีขาย ในขณะที่มีขายเกลื่อนที่อเมริกา เช่นเครื่องบันทึกเสียงแบบใช้เทป ที่หายากมากในเมืองไทย คนขายบอกว่าเค้าเลิกใช้กันไปแล้ว เดี๋ยวนี้ใช้เอ็มพี 3 หรือเครื่องเล่นวิดีโอเทป ที่หายากขึ้นทุกวัน อันนี้ไทยนำหน้าฝรั่งหลายขุม


เมื่อรู้ว่าต้องซื้อที่ไหนก็ดั้นด้นไป แต่เซ็นทรัลลาดพร้าวนี่คนชุมอย่างกับมด ที่จอดรถก็หายากมาก ตอนนี้ผู้เขียนขับรถกระบะดัดแปลงของอิซูสุที่เทอะทะสำหรับขับในกรุง เล่นเอากว่าจะหาที่จอดเหมาะๆได้ก็กินเวลาไป 20 นาที เมื่อเดินเข้าไปในห้างแล้ว รู้สึกว่ากทม. นี่คนชุมจริงๆ ไปไหนก็เจอแต่คน นี่ขนาดมีคนบอกว่ามีหนีไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ้าง เรียกว่าเปรียบกับเมืองที่ผู้เขียนเคยอยู่เมื่อ6ปีก่อนแล้ว ต่างกันลิบลับ ไปไหนในกทม. ไม่เคยเหงา เพื่อนร่วมทางแยะไปหมด เป็นเสน่ห์อีกแบบสำหรับคนที่เคยอยู่บ้านนอกฝรั่งจนชิน ที่ไปไหนเห็นแต่ท้องไร่ท้องนาหรือทิวเขาป่ารก แล้วก็วัวควายฝรั่งที่ตัวเหมือนวัวควายยักษ์


ผู้เขียนมุ่งหน้าไปที่ส่วนขายเครื่องดังกล่าว เพราะในใจคิดรีบซื้อรีบกลับ กลัวใจตนเองที่จะช็อปมากไป เพราะเห็นของลานตาไปหมด ไม่แปลกใจว่าทำไมคนไทยจึงช็อปกันเก่งๆ ไปไหนๆคนซื้อของกันวุ่นวายเหมือนเค้าเอามาแจก ขณะที่เดินก็นึกถึง "มอลล์อ๊อฟอเมริกา"i ที่เดินทีก็ทั้งวัน แต่ก็หยิบจับอะไรไม่ค่อยได้เพราะของสุดแพงแต่ก็เป็นของที่คุณภาพดีทั้งสิ้น แต่ก็เกินความจำเป็นพื้นฐาน จากการที่มีภูมิคุ้มกันสมัยนั้นทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยมีกิเลสหนานัก เมื่อมาเห็นสินค้าในเมืองไทยจึงไม่ค่อยตื่นเต้น แต่กระนั้นก็อดอยากได้โน่นนี่ไม่ได้เช่นกัน


ของที่เมืองไทยไม่ถูกแต่ค่าแรงเมืองไทยนี่ถูก ของบางอย่างที่ดูเหมือนว่าแพงที่สหรัฐฯ มาถึงไทยก็ยิ่งแพงขึ้น ซึ่งก็แปลกที่ก็มีคนไทยซื้อได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครเอามาขายแน่ แสดงว่าคนไทยคงจะรวย แต่คนไทยที่ไม่รวยกลับอยู่อย่างเหมือนไม่ใช่คน ว่าไปแล้วโลกทุนนิยมมันก็เป็นแบบนี้ทุกแห่ง


ซื้อเครื่องดังกล่าวได้มาแล้วก็ดูโน่นนี่ไปตามเรื่อง เพราะเดินคนเดียวก็ดีไปอย่างคือไม่ต้องกลัวว่าใครจะเบื่อกับการจับจ่ายของด้วยกัน ตอนแรกก็ชวนเพื่อนๆน้องๆ เหมือนกัน แต่ว่าแต่ละคนมีโปรแกรมกันแล้วทั้งนั้น ว่ากันไม่ได้ เพราะผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่างานซ่อมบ้านจะเสร็จเมื่อไร หากนัดไปกันแล้วงานไม่เสร็จก็ออกไม่ได้ทำให้เสียคน ดังนั้น การช็อปคนเดียวจึงไม่น่าเกลียดจนเกินไปนัก


ผู้เขียนเห็นเด็กไทยมากมายเดินตามห้างพวกนี้ รู้สึกไม่ชอบใจนัก เพราะรู้สึกว่าพวกเขาใช้เวลาไม่เป็น หากแต่เมื่อมองกลับไปพบว่าสังคมเราก็ไม่ได้สอนพวกเขาให้มองเวลาเป็นของมีค่าเท่าไรนัก การมาเดินห้าง เล่นวิดีโอเกม หรือ นั่งกินกาแฟเอาเก๋ ไม่ได้ช่วยให้เกิดผลผลิตในสังคมในเชิงสร้างสรรค์แต่อย่างใด ทุกวันนี้ผู้เขียนจะหาเวลามาเดินห้างแบบนี้เรียกว่าแทบไม่มี ยอมรับว่าเป็นเพราะการที่ใช้ชีวิตที่สหรัฐฯมานานทำให้เห็นคุณค่าของเวลา ทำให้มองว่าเวลาเป็นเรื่องที่สูญสิ้น เป็นทรัพยากรที่ต้องใช้ให้ได้ประโยชน์ แต่ไม่เครียดจนเกินไป เชื่อว่าถ้าสังคมไทยสอนคนให้เห็นค่าของเวลาและไม่ดูดาย สังคมไทยน่าจะน่าอยู่กว่านี้ และมีคุณภาพขึ้นกว่าเดิม


เคยถามบางคนว่าถ้ามีเงิน จะซื้อหนังสือกับกินเหล้า จะทำอะไร เค้าบอกว่าจะกินเหล้า บางทีมีคนบอกว่าจะซื้อหนังสือ ก็รู้มาว่าหนังสือที่เค้าจะซื้อคือหนังสือเพื่อความบันเทิง ซึ่งก็นั่งถามต่อไปว่ามีประโยชน์คุ้มกันกับเวลาและเงินที่เสียไปหรือไม่ อันนี้คงต้องบอกว่าถ้ามองแบบประเทศที่พัฒนาแล้วต้องบอกว่าไม่ค่อยคุ้ม แต่ถ้ามองแบบไทยๆ ก็น่าจะถือว่าคุ้มอยู่บ้าง อย่างน้อยก็คือได้อ่านบ้าง


ผู้เขียนได้ซื้อรองเท้าใส่เล่นหนึ่งคู่และใส่ทำงานได้อีกหนึ่งคู่ รวมราคาสองพันนิดๆ เพราะทำในไทยแต่ไซส์ฝรั่ง (เบอร์ 11) ดีใจที่หาซื้อได้ไซส์นี้ในไทยเพราะเคยหาซื้อในสหรัฐฯยังต้องควานหา เพราะเท้ายาวและหลังเท้าสูงอูม ไม่เหมือนชาวบ้าน (ไม่ว่าตอนผอมหรืออ้วน เท้าก็อูมตลอด) แล้วได้ซื้อกระดาษจนบันทึกประจำวันของปีหน้าทั้งปี อันนี้ทำในไทยเช่นกัน ผู้เขียนมี Dayrunner มาจากอเมริกาจึงซื้อแค่รีฟิลล์ที่ว่ามาเติม สมัยก่อนมีของต้นตำหรับจากสิงคโปร์มาขาย ตอนนี้ไม่มีแล้ว อีกอย่างคนไทยหลายคนชอบใช้ "ปาล์ม" แต่ผู้เขียนลองใช้มาสองเครื่องแล้ว ไม่ถูกใจจึงกลับไปใช้แบบพื้นฐานคือกระดาษดังเคย สะดวกกว่าแยะ พูดง่ายๆว่า ยังไม่ไฮเทคจริง ขนาดตอนนี้มีเอ็มพี 3 ยังไม่ค่อยได้ใช้ทำอะไรนอกจากไว้ใช้ทำวิจัยตอนสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลเท่านั้น


ไปดูที่นอน หมอน เครื่องนอนต่างๆ ก็อยากได้เพราะว่าที่นอนที่มีอยู่จะ 10 ปีแล้ว สภาพประมาณร้อยละ80ไม่เกิน ราคาไม่แพงนักแต่ยังไม่อยากได้เพราะไม่แน่ใจว่าจะย้ายบ้านเมื่อไร ตอนนี้กะว่าทำงานหาเงินเพื่อซื้อบ้านใหม่ก่อน แล้วค่อยๆดูต่อไปว่าจะซื้ออะไรทีละชิ้นๆ ซื้อมากก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ ไม่คุ้ม อะไรที่ไม่คุ้มจะไม่ซื้อ อันนี้เรียกว่าอยู่อย่างพอเพียง ค่อนข้างชัดเจน


กว่าจะกลับบ้านว่าจะซื้อ "น้ำหอม" หนึ่งขวด แต่พอมาคิดได้ว่าได้ขนมาจากสหรัฐฯ กว่า 4 ขวด (ซื้อตอนลดราคาของ Crabtree & Evelynii เลยไม่เอาดีกว่า ให้ทนใช้ไปจนหมดแล้วค่อยว่ากัน แต่ก็คงอีกหลายปี เพราะใช้ขวดละห้าเดือนเป็นอย่างต่ำ น้ำหอมดีๆที่ขายเมืองไทย ขวดหนึ่งก็หลายพันบาท เสียดายเงินเหมือนกัน เอาเป็นว่ากลับบ้านดีกว่าหิวข้าวแล้วจึงไม่รู้จะอยู่ต่อทำไม วันนั้นจึงหมดไปสามพันกว่าบาท หากรวมกับที่ซ่อมแซมบ้านก็รวมๆแล้ววันเดียว จ่ายไปหกพันบาทได้ ถ้าไม่มีเงินเก็บรองรังไว้ เดือนนี้ทั้งเดือนผู้เขียนคงต้องได้กินแต่ข้าวกับไข่เจียวหรือปลากระป๋องเท่านั้น


กว่าจะถึงวันหยุดอีกที่ไม่ต้องสอน ไม่ต้องทำงานอะไร วางงานจริงๆสักหนึ่งวัน ช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยทุกอย่าง เพราะเป็นวันที่ไม่ต้องจับงานประจำเท่านั้นเอง ได้มาเจอผู้คนจริงๆ ไม่ใช่อยู่แต่ในห้วงวิชาการหรืองานประจำ เปลี่ยนบรรยากาศ ได้มองโลกไปอีกแบบแม้จะไม่ค่อยสดใสเท่าไรนักว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรของสังคมไทยวันนี้


แล้วคงมีเรื่องมาเล่าให้ฟังในโลกทุนนิยมแบบ กทม.ให้ฟังกันอีก