ANTI-HERO กับสิ่งที่คนมองเห็นได้ง่ายและยากที่สุด
คอลัมน์/ชุมชน
คุณเคยพบปะคนแบบนี้บ้างไหม
คนที่ไม่ชอบคนมีชื่อเสียง นอกจากเขาจะไม่ชอบแล้ว เขายังพร้อมที่จะแสดงความไม่ชอบของเขาให้คนรับรู้ด้วย ถ้าคุณยังไม่เคยพบปะ หรือไม่เชื่อว่าคนแบบนี้มีจริง ในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนนานาชนิด คุณลองจับตาสังเกตผู้คนรอบ ๆ ตัวคุณที่คุณรู้จักสักคนหนึ่ง ที่มีลักษณะส่ออาการว่าจะเป็นคนแบบนี้ แล้วคุณลองเข้าไปพูดคุยกับเขาถึงใครสักคนหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างโดดเด่นในสังคม ยิ่งเป็นคนที่อยู่ในวงการที่เขารู้จักด้วยยิ่งดี
ถ้าหากการมองคนของคุณ
เวลาคุณพบคนที่เขาเป็นกันแบบนี้
ถ้าหากคุณยังไม่รู้จักเขาดีพอ แล้วบังเอิญคุณพลาดไปพูดกับเขาถึงใครสักคนหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโดดเด่น และเป็นคนที่คุณชื่นชมยกย่อง ด้วยหวังว่าเขาจะเห็นดีเห็นงามร่วมกับคุณ คุณอาจจะเป็นปากเป็นเสียงทะเลาะกับเขาอย่างหน้าดำหน้าแดง เพื่อปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีของคนที่คุณชื่นชมยกย่อง แต่กลับถูกเขาหาเรื่องหยิบยกมาตำหนิติเตียน แล้วประกาศไม่ยอมรับอย่างหน้าตาเฉย ไม่ว่าคนที่มีชื่อเสียงที่คุณชื่นชมยกย่อง จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีคุณูปการต่อสังคมสักเพียงใดก็ตาม
ยิ่งถ้าคุณเป็นคนแบบคนไทยส่วนใหญ่ทั่ว ๆ ไป ที่มีความเชื่อศรัทธามากกว่าเหตุผลและข้อเท็จจริง เกิดคุณไปชอบคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังสักคน ถึงขั้นยกย่องเทิดทูนเป็นวีรบุรุษหรือวีรสตรีในดวงใจ ซึ่งผู้คนชุดนี้ ถ้าหากเขาได้เกิดความเชื่ออะไรสักอย่างหนึ่งในสังคม ไม่ว่าจะเป็น คน พืช สัตว์ สิ่งของ ถึงขั้นยกย่องเทิดทูนกันแล้ว ต่อมาภายหลัง ไม่ว่า คน พืช สัตว์ สิ่งของ นั้น
จะผิดหรือถูก
จะดีหรือเลว
จะจริงหรือเท็จ
ใครไม่แน่จริง
อย่าขืนเข้าไปแตะ
สิ่งที่เขาได้เชื่อและศรัทธาแล้วอย่างเด็ดขาด
เพราะเมื่อคนระดับนี้ ได้ให้ใจกับอะไรสักอย่างหนึ่ง-ถึงขั้นตอนนี้แล้ว เขาก็พร้อมที่จะให้ได้หมดทุกอย่าง
ถ้าคุณ
ดังเช่นกรณีทางสังคม
ที่เนื่องมาจากการเมืองที่ขัดแย้งกัน ระหว่างคนที่ยกย่องเทิดทูนอดีตท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กับคนที่ยกย่องเทิดทูนคุณ
คนที่ไม่ชอบคนมีชื่อเสียง
คนที่เกิดมาเพื่อจะเลือกเป็นคนขวางโลก เป็นคนที่ไม่เข้าไม่ออกใครพวกนี้ ผมพยายามเหลือเกิน ที่จะหาคำมานิยามอัตลักษณ์ความเป็นคนของเขาให้เข้าใจง่าย แต่ก็ไม่อาจหาคำนิยามใดได้เหมาะเจาะเท่ากับคำว่า "แอนตี้-ฮีโร่" (ANTI-HERO) ในภาษาอังกฤษ ที่หมายถึงพวกคนที่เป็นขบถและต่อต้านคนที่มีลักษณะโดดเด่น เป็นคนกล้า เป็นคนเก่ง เป็นคนเด่นคนดัง หรือเป็นมีชื่อเสียงในสังคมนั่นเอง
ด้วยความสัตย์จริง ผมว่าเรามีคนไม่เข้าไม่ออกใครแบบนี้ อยู่ในสังคมก็ดีเหมือนกัน เพราะคนขวางโลกแบบนี้แหละ ที่จะช่วยรั้งมิให้คนเด่นคนดังเหลิงหลง ไปกับคำยกยอปอปั้นที่สังคมรุมกันป้อนให้ (จริงบ้าง-ไม่จริงบ้าง) จนสำคัญตนเองผิด คิดว่าคนทั้งโลกนี้หลงรักฉันคนเดียว เข้ารกเข้าพงไปจนกู่ไม่กลับ
ส่วนความปลอดภัยในชีวิตของเขา ผมไม่เกี่ยว ในเมื่อเขาเลือกที่จะเป็นแอนตี้-ฮีโร่ เลือกที่จะเป็นคน "กวนตีนคนดัง"เขาย่อมต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำของเขา ด้วยตัวของเขาเอง เมื่อถึงวาระที่เขาสมควรจะโดนตีนจากฮีโร่สาขาใดสาขาหนึ่ง ตามกฏแห่งกรรมในพุทธศาสนา ที่อุปมาอุปมัยเอาไว้อย่างคมคายว่า "วัวของใครก็เข้าคอกคนนั้น "
หรือแม้แต่หลักปรัชญาตะวันตก เช่น หลักปรัชญา เอ็กซิสเทนเชียลลิสม์ (EXISTENTIALISM) ก็ยังกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน เป็นสัจธรรมข้อเดียวกันว่า "มนุษย์มีสิทธิและเสรีภาพที่จะเลือกและกระทำ แต่เขาจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาเลือกและกระทำนั้นๆ " ใช่หรือไม่
แต่ก็อีกนั่นแหละ
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร โลกนี้จึงมีแต่คำว่า แต่ แต่ แต่ เท่าที่ผมตั้งข้อสังเกตดู หรือไม่จำเป็นต้องตั้งข้อสังเกต ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ของมนุษย์และสังคมที่ค่อนข้างผิดปรกติ นั่นคือ คนประเภทแอนตี้ฮีโร่นี่ แทบทุกคนที่ผมมีบุญวาสนาได้พบปะ ในขณะที่พวกเขาไม่ชอบและต่อต้านพวกฮีโร่ แต่พวกเขากลับมีพฤติกรรมที่ชอบทำอะไรเป็นจุดเด่น เรียกร้องความสนใจจากผู้คนและสังคม (จนบางครั้ง ผมต้องรีบเดินหนีออกมาห่าง ๆ เพราะกลัวคนเขาจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพวกเดียวกัน) ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ ก็คือพฤติกรรมของคนที่อยากเป็นฮีโร่ ซึ่งเป็นคนที่พวกเขาไม่ชอบและต่อต้านนั่นเอง พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือในขณะที่เขาเกลียดคนดัง แต่เขาก็พยายามทำตัวเป็นคนดังนั่นแหละ ผมไม่เข้าใจ เขาทำของเขาได้อย่างไร
แต่ช่างเถิด ไม่เป็นไร ชีวิตคนเราไม่เห็นมีความจำเป็นต้องทำให้ตัวเองเป็นทุกข์และยุ่งยาก เพราะความอยากรู้อยากเข้าใจอะไรให้มันหมดทุกอย่าง เพราะถึงอย่างไรผมก็ชอบคนแบบนี้ เพราะความลักลั่นของตัวตนที่ไม่ลงตัวของเขา หรือความขัดแย้งของตัวตนที่ไปคนละทิศละทางของเขา ทำให้ผมยิ้มได้ ในวันที่ชีวิตที่ค่อนข้างจริงจังและจริงใจกับผู้คนของผม มันไม่ยอมลงตัวแบบสองบวกสองเป็นสี่ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนผมเกือบจะเชื่อว่า ทำดีได้ชั่วมีจริง
และนี่คืออีกกรณีหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน
หญิงสาวมาดมั่นคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เธอเป็นคนมีอคติและต่อต้านพฤติกรรมของแม่ ที่มักจะมีเรื่องเปลี่ยนพ่อใหม่ให้เธอ จนเธอจัดลำดับและจำชื่อพ่อแต่ละคนสับสนกันไปหมด ผมไม่อยากให้เธอเสียเวลาเป็นทุกข์ อยู่กับเรื่องที่คนหวังได้ยากแสนยาก หรือไม่อาจหวังได้เลย นั่นคือหวังอยากจะให้ใครสักคนหนึ่ง เป็นอย่างที่ใจเราต้องการ
เพราะถ้าเธอไม่สามารถทำใจให้ปล่อยวาง เพื่อผ่านสันดอนทางใจของชีวิตตรงนี้ไปให้ได้ ชีวิตเธอจะไม่มีวันผ่านอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านี้ไปได้
วันหนึ่ง ผมจึงพูดกับเธอในฐานะคนที่ผ่านโลกมามากกว่ากับเธอว่า อย่าไปตำหนิติเตียนแม่เราเลย เพราะไม่มีหญิงชายคู่ใดในโลกนี้ที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันอยากจะเลิกร้างกันและเปลี่ยนคู่กันใหม่หรอก ถ้าหากตกลงปลงใจอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่มีความทุกข์และปัญหาหนักหนาสาหัส จนไม่สามารถทนมีชีวิตร่วมกันได้ เพราะนี่คือเรื่องที่สำคัญและใหญ่โตที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต ที่ไม่มีใครเขาอยากจะล้มเหลวกันหรอก
โดยเฉพาะผู้หญิงในสังคมไทย ไม่มีใครอยากเปลี่ยนผัวเหมือนผลัดผ้าถุงกันหรอก เพราะเปลี่ยนคู่ครั้งหนึ่ง ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด สังคมก็จะลดคุณค่าความเป็นคนของผู้หญิงคนนั้นลง เพียงแค่ 3 คน เขาก็รีบชี้หน้าตีตราว่า"หญิงสามผัวคบไม่ได้" จากนั้น-ก็ช่วยกันเหยียบย้ำซ้ำเติม แม้กระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง แทนที่จะลุกขึ้นมาปกป้องช่วยเหลือเพศเดียวกัน ที่ถูกทำร้ายจากวัฒนธรรมความเชื่อที่กดขี่ทางเพศที่งม
งายและไร้เหตุผล แต่กลับช่วยกันเหยียบย่ำซ้ำเติม ไม่ให้เขาได้ผุดได้เกิด
แต่ผมไม่ได้บอกเธอหรอก ว่าตัวเธอเองก็มีพฤติกรรมแบบเดียวกันกับแม่ เพราะ 4-5 ปีที่รู้จักกัน ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้ เธอเองก็เปลี่ยนชายหนุ่มรูปหล่อ แข่งขันกับแม่ตัวเอง จนผมจัดลำดับและจำชื่อสับสนไปหมดเหมือนกัน แต่เธอกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียดและต่อต้าน
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้
ผมบังเอิญเปิดทีวีไปพบพระมหาเปรียญท่านหนึ่ง กำลังเทศนาและบรรยายธรรมะ หัวข้ออะไรผมก็จำไม่ได้ แต่มีอยู่ตอนหนึ่งที่ท่านได้พูดเกี่ยวกับการมองเห็นของคนเอาไว้ว่า
สิ่งที่คนเรามองเห็นได้ง่ายที่สุดคือความไม่ดีของคนอื่น และสิ่งที่คนเรามองเห็นได้ยากที่สุดคือความไม่ดีของตัวเอง เพราะมันอยู่ใกล้ตัวจนเรามองไม่เห็นและเคยชินกับมันจนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ไม่รู้สึกรู้สา ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูกดีหรือเลว
ผมฟังแล้วถึงกับตัวชา เหมือนคนไข้โรคจิตประสาท ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าเพื่อรักษาอาการคลุ้มคลั่ง พร้อมกับบรรลุธรรมที่ทำให้ผมตกอยู่ในอาการวิจิกิจฉามาเนิ่นนานในทันใด ก่อนจะยกมือท่วมหัวสาธุ และค่อย ๆ ก้มหน้ามองดูตัวเองด้วยใจอันเต้นระทึก !
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่