Skip to main content

ต้นไม้ในทุ่งโล่ง....

คอลัมน์/ชุมชน

ต้นไม้ต้นหนึ่ง...ยืนต้นอยู่เพียงลำพังกลางทุ่งโล่ง ที่ว่าเพียงลำพังก็เพราะมันเป็นต้นไม้  ต้นไม้ยืนต้น เพียงต้นเดียวที่มีอยู่ในทุ่งข้าว และหญ้า...  ว่าไปแล้ว มันก็สามารถผลิใบ แตกยอด ต่อลำต้นให้เติบโตได้ก็ด้วยการถูกเมินเฉยจากผู้คน และวัว ควาย ทุกวันๆ  มีชีวิตหลุดรอดพ้นจากคมมีด คมจอบ หรือการตกไปเป็นอาหารของวัว ควาย 


 


วันแล้ววันเล่า... เวลายิ่งเนิ่นนานออกไปเพียงใด ต้นไม้ต้นนี้ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นตามลำดับ  ค่อยๆ ชูใบออกมารับแสงแห่งเช้า  ค่อยๆ  เหยียดลำต้นให้ตั้งมั่นได้มั่นคงและแข็งแรง  ค่อยๆ แตกกิ่ง ผลิใบเพิ่ม ต่อยอดเสริมลำต้นสูงขึ้น สูงขึ้น  พร้อมกันนั้น ด้วยความที่มันเป็นต้นไม้ที่ยังเด็ก ในการเติบโตนั้นลำต้นของมันจึงไม่ได้แข็งเกินไปนัก เพราะถ้าเช่นนั้นมันคงเปราะบางเกินไป  แต่มันกลับรู้จักทำให้ตัวเองส่ายต้นเอนไหวได้ในสายลม  และสายฝน  และนั่นมันก็ได้ประคับประคองตนให้อยู่ร่วมกับพืชพรรณอื่นๆ  ในทุ่งนั้นได้อย่างกลมกลืน  หล่อเลี้ยงตัวเองด้วยแสงอาทิตย์  แสงจันทร์ ดื่มกินหยดน้ำค้างเป็นอาหาร ด้วยว่า  นั่นเป็นหยดน้ำ  การมาของหยดน้ำเพียงทางเดียวของฤดูหนาว ประคับประคองตนให้มีชีวิตรอดผ่านฤดูแล้ง ร้อน รอฤดูฝนใหม่คราวหน้า  เมื่อนั้นสายฝนคงถั่งเทลงมา ได้ดื่มกินได้ฉ่ำชื่น  และฝนก็จะได้ทำให้ผืนดินอ่อนลง นั่นหมายถึงหาหารในดินก็จะสามารถดูดซับได้ง่ายขึ้น  นั่นจึงเป็นช่วงเวลาอันอุดมสมบูรณ์


 


ในอีกด้านของความเป็นจริงนั้น... ต้นไม้ต้นเดียวกลางทุ่งนั้นจะเปลี่ยวเหงาหรือ  หรือไม่...อย่างไร...ในเมื่อรอบๆ นั้นมีเผ่าพันธุ์ชีวิตอื่นๆ  ให้พอได้ชื่นชมผีเสื้อบินมาหาน้ำหวานจากดอกหญ้า  ได้ชื่นชมฝูงนกกระจิบที่แวะเวียนมาแบ่งปันข้าวของชาวนา  มด แมลง ไส้เดือน ที่ต่างก็ใช้ชีวิตในโลก แผ่นดินแห่งท้องทุ่งนี้เช่นเดียวกัน  ทางหนึ่งก็คล้ายว่าทั้งหมดนั้นต่างก็ดำรงอยู่บนวิถีแห่งตน  หากินคนละอย่าง เป็นอยู่คนละแบบ  ผีเสื้อหาน้ำหวาน นกกระจิบกินเมล็ดข้าวและอื่นๆ  หนอนกินใบไม้ นั่นก็ว่ากันไป  ต้นหญ้า หรือต้นไม้ ก็ดำรงอยู่ตามเหตุปัจจัยของตน  สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อาจไม่ได้คิด ไม่ได้ใคร่ครวญ ในการจะทำอะไรทั้งหมดนั้นเพื่อตนอย่างไร เพื่อชีวิตรอบข้างอย่างไร  กระนั้น ชีวิตทั้งหลายเหล่านี้ก็ล้วนอิงอาศัยซึ่งกันและกันไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะรู้ หรือเข้าใจหรือไม่ก็ตาม


 


หากมีถ้อยคำใดถามว่า... ต้นไม้ยืนต้นอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่ง  มีประโยชน์อันใดต่อทุ่ง และผืนแผ่นดินนี้....  ต้นไม้จะตอบว่ากระไร...  ไม่มีดอก จึงไม่มีน้ำหวานให้ผีเสื้อ ไม่มีโพรงให้กระรอก ไม่มีผล ให้นก หรือมด อาจจะมีใบที่แสนไม่อร่อย และหนอนไม่กิน  หรือว่า  วันหนึ่งข้างหน้า  หากมันสามารถรอดพ้นจากคมมีดคมจอบ รอดพ้นจากไฟลามทุ่ง  รอดพ้นจากอันตรายใดใด  เมื่อมันเติบโตขึ้น วันนั้น มันจะเป็นร่มบังแดดให้ชาวนาในวันอันร้อนร้าย เป็นบ้านให้นก กระรอกกระแตมาทำรัง  มีกิ่งก้านให้นกพเนจรที่ผ่านมาได้หยุดพัก  เช่นนี้จึงดูเหมือนว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเกิดมาในโลกอย่างไร้คุณค่า  ไม่มีชีวิตใดที่เกิดมาในโลกอย่างไร้ความหมาย ด้วยธรรมชาติเดิมแท้ชีวิตจึงเกิดมาเพื่อดูแลตัวเอง  นั่นจึงเป็นการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลสรรพสิ่งโดยรอบ ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทางใกล้ หรือทางไกล  นั่นคือการส่งผลต่อโลก กาลเวลา และจักรวาล


 


ต้นไม้โดดเดี่ยวกลางทุ่งโล่ง... ความจริงนั้นมันจึงไม่ได้โดดเดี่ยว  นั่นไม่ว่ามันจะคิด หรือรู้สึกว่ามันโดดเดี่ยวหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนั้นมันดำรงอยู่บนวิถีที่เหมาะควรอยู่แล้ว  ว่าก็โดยเฉพาะ แม้ไม่ต้องไปแต่งเติมเสริมส่งสร้างสิ่งใดใด  เพราะนั่นคือ ...ชีวิต... ดร.เอียน มัลคอล์ม  หนึ่งในตัวละครเอกในจูราสสิกปาร์ก กล่าวถ้อยคำที่งดงามเอาไว้ว่า... "ชีวิตย่อมมีหนทางเสมอ"