Skip to main content

ประเทศไทยไม่ต้องการคมช.

คอลัมน์/ชุมชน

จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้เลยว่า คมช.ถือสิทธิอะไรในการเข้าปกครองประเทศ (ใครรู้ช่วยบอกที)


 


คมช.ตั้งตัวเป็นใหญ่โดยไม่รอให้ใครมาเลือกตั้ง ไม่ต้องลงสมัคร ไม่ต้องหาเสียง เพียงแต่ขนรถถังซึ่งซื้อมาจากเงินภาษีของประชาชนออกมาขู่ตามท้องถนน เข้ายึดสื่อ หาข้ออ้างให้ตนเองและพรรคพวกร้อยแปดประการ ยึดองค์กรทางการเมือง ควบคุมกันตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงระดับท้องถิ่น เรียกได้ว่าเดือดร้อนไปตาม ๆ กันทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น


 


พลเอกสนธิ ย้ำหลายครั้งถึงการคาดการณ์ในวันที่ 20 กันยายนว่า จะมีการนองเลือด แต่ข้ออ้างของพลเอกสนธิอาจหลอกเด็กอมมือได้เป็นบางคนเท่านั้น เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าการยึดอำนาจวางแผนกันมาก่อนหน้านั้นหลายเดือน (แล้วถ้าสมมติว่าเราเชื่อคำอ้างของพลเอกสนธิ คำถามก็คือแล้วทำไมไม่หาทางป้องกันการปะทะซึ่งมีอยู่หลายวิธี หรือว่ากลุ่มทหาร-คปค.ไม่มีปัญญาคิดหาทางป้องกันที่ดีไปกว่าการยึดอำนาจ!) 


 


ในการให้สัมภาษณ์ หรือการปาฐกถาหลายครั้ง  พลเอกสนธิได้ตอกย้ำถึงความเลวร้ายของรัฐบาลก่อนหน้า เช่น บอกว่าประเทศไทยถูกแทะจนเหลือแต่กระดูก หรืออดีตนายกรัฐมนตรีเป็นดั่งเด็กเลี้ยงแกะ ฯลฯ  การพูดจาในลักษณะนี้ของพลเอกสนธิ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากจิตวิทยาตื้นๆ ในการเอาตัวรอดจากการประณามหยามหมิ่นของกลุ่มองค์กรประชาธิปไตยและการไร้ผลงาน ไร้นโยบายของรัฐบาลเถื่อนและของคมช. เอง


 


แน่นอนว่า ความผิดพลาดในอดีตของรัฐบาลทักษิณหรือรัฐบาลอื่นๆ เป็นเรื่องที่ต้องทบทวนกัน เพื่อป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นอีก แต่พลเอกสนธิ อาจลืมทบทวนความเสียหายของประเทศไทยในอดีตอันเกิดมาจากน้ำมือของกลุ่มทหารที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า ราคาที่ประเทศต้องจ่ายจากการยึดอำนาจของกลุ่มทหารนั้นประเมินค่ามิได้ และโดยไม่สำเหนียก พลเอกสนธิ และคมช. ก็ได้ซ้ำเติมเพิ่มความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอีกครั้งหนึ่ง


 


พลเอกสนธิและคมช. คงไม่ได้ทบทวนด้วยว่าประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยพิพากษาให้กลุ่มทหารที่ทำลายประชาธิปไตยอยู่ในฐานะตำแหน่งอะไร เป็นไปได้ที่ผู้ทำลายประชาธิปไตยอาจตายดี แต่ชื่อนั้นๆ จะถูกขุดขึ้นมาก่นด่า ประณามครั้งแล้วครั้งเล่า


 


----


 


เมื่อเข้ายึดประเทศโดยไม่ละอายแล้ว แทนที่พลเอกสนธิและคมช.จะสำนึกผิดในการละเมิดหลักการประชาธิปไตย ละเมิดเสียงของคนหมู่มาก ละเมิดเสรีภาพ ทำลายสถาบันทางการเมือง   คมช. กลับยิ่งพูดจาโอหัง ทำการล้างแค้น จองเวร ข่มขู่ คุกคามไม่สิ้นสุด  ในภาวะการณ์เช่นนี้ยากที่นักการเมืองโดยเฉพาะสมาชิกพรรคไทยรักไทย และนักประชาธิปไตยจะอยู่อย่างสงบสุขได้


 


ยัง ยังไม่พอ นอกจากเดินเกมพยาบาทแล้ว คมช.ยังหาทางแสวงประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องอีกด้วย (จะต่างอะไรกับรัฐบาลทักษิณเล่า) เช่น การส่งทหารเข้าไปนั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ กินเงินเดือนสบายใจเฉิบโดยไม่แยแสต่อคำท้วงติงของสังคมในเรื่องของความเหมาะสม


 


ดังนั้น คำว่าประเทศไทย "โดนแทะเหลือแต่กระดูก" อย่างที่พลเอกสนธิ พูดเพื่อให้ใครต่อใครรู้สึกหดหู่นั้นคงไม่จริง เพราะอย่างน้อยก็ยังมี "เนื้อติดกระดูก" ให้สมาชิก คมช. ได้แทะเล่นอีกด้วยวิธีการต่างๆ อย่างไม่ปิดบัง


 


แล้วอันที่จริงประเทศไทยก็คงจะมี "เนื้อติดกระดูก" อีกมาก เพราะรัฐบาลเถื่อนได้ใช้เงินอีกมากมายจัดสรรให้กระทรวงกลาโหมซื้ออาวุธ ซื้อโน่น ซื้อนี่ รวมทั้งจัดสรรเงินหลายร้อยล้านให้กับการยึดอำนาจที่ผ่านมาด้วย (เอาเงินภาษีประชาชน ไปใช้เพื่อยึดอำนาจจากประชาชน เวรกรรมก็ตกอยู่ที่ประชาชน!)


 


ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องกำลังเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมที่ไม่ได้รับการแก้ไขหรือแก้ไขอย่างครึ่งกลางๆ (และเพราะฉะนั้นเงินชดเชยที่ผู้เดือดร้อนได้รับจึงครึ่งๆ กลางๆ) แต่กระทรวงกลาโหมกลับได้งบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้นซึ่งเอาไปใช้อย่างไรบ้างนั้น ก็ยากที่สาธารณชนจะตรวจสอบเพราะดังที่คุณจาตุรนต์ บอกว่าก็คือสถาบันทหารอยู่ในความมืดมานานและดังนั้นจึงกลัวแสงสว่าง


 


มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พลเอกสนธิ พูดเรื่อง เส้นเขตแดนระหว่างประเทศ ท่านบอกว่าหากมีปัญหาพิพาทขึ้นมาเราอาจเสียดินแดนไปให้ประเทศเพื่อนบ้านอีก ผมไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพูดทำไม จะสร้างความหดหู่ให้กับประชาชนไปถึงไหน หรือท่านคิดว่าการพูดทำนองนี้อาจจะช่วยให้เอาตัวรอดจากการความเกลียดชังของประชาชนที่เพิ่มขึ้นทุกวัน หรือท่านคิดว่าการเพิ่มบทบาทความสำคัญให้กับทหารด้วยวิธีการพูดทำนองนี้นั้นจะทำให้ประชาชนรักทหารมากขึ้น!


 


คำกล่าวของคุณจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเรื่องทหารอยู่ในความมืดและกลัวแสงสว่าง นั้นมีความสำคัญมาก เพราะมันช่วยชี้ให้ฉุกคิดว่า "เมื่อประชาชนหรือนักการเมืองทำผิด ทหารสามารถใช้อำนาจเถื่อนเข้าตรวจสอบ ถ่วงดุลกระทั่งแทรกแซงได้ แต่ใครจะสามารถตรวจสอบ แทรกแซงทหารได้บ้าง?


 


ทหารต้องถูกตรวจสอบ สังคมต้องร่วมด้วยช่วยกันตรวจสอบสถาบันทหาร ต้องช่วยตั้งคำถามต่อบทบาทของทหาร และต้องช่วยกันผลักดันทหารออกไปจากการเมือง ทั้งนี้ก็เพราะประเทศที่เจริญแล้วบริหารปกครองด้วยประชาชน ไม่ใช่ทหาร หรือว่าประเทศไทยเราไม่อยากเจริญเหมือนคนอื่นเขา.