Skip to main content

ทัชมาฮาลในโทนสีหม่น

คอลัมน์/ชุมชน

  รชา


 


 


 



 


 


คุณจินตนาการถึงโลกแบบนี้ได้รึเปล่า...


 


โลกที่เด็กอายุ 18 คือ... โลกของเด็กหนุ่มหล่อ ที่ผอม ผิวซีด ตาเศร้ารักกับเด็กสาวผู้เลอโฉมดุจนางฟ้า บอบบางดุจกลีบกุหลาบสีขาวหอมกรุ่น


 


โลกที่เด็กหนุ่มเด็กสาวมีกิจวัตรอยู่ที่การครุ่นคิดถึงความเปราะบางของโลก พวกเขาชื่นชมดนตรีคลาสสิก ชีวิตชุ่มชโลมด้วยผลงานของโมสาร์ท บาค บีโธเฟน ชูมานน์  แทนที่จะเป็น พี่แบงค์ วงแคลช หรือนักล่าฝันจาก Academy Fantasia


 


พวกเขารอบรู้เรื่องหนังสือ ประวัติศาสตร์ ปรัชญาการเมือง วัฒนธรรม และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ราวกับตลอดระยะเวลา 18 ปีของชีวิต ถูกดำรงมาด้วยการบริโภคศาสตร์ศิลป์ต่างๆ ของโลกใบนี้เป็นอาหารจานหลัก  


พวกเขามีชีวิตที่แปลกประหลาด หม่นหมอง มองเห็นแต่สีเทา เศร้า และรวดร้าวกับความเลวร้ายของสังคม


พวกเขาทำเรื่องใหญ่ๆ อย่าง.... ใช้ชีวิตอยู่ในความร้าวราน พยายามปฏิวัติความเลวร้ายของสังคม  ไปจนถึงข่มขืนและฆ่าคน


 


เด็กชายหญิงอายุ 18 ปีทุกคนใน ‘ทัชมาฮาลบนดาวอังคาร’ เป็นแบบนั้น


 


ถ้าพูดถึงคำว่า ..ทัชมาฮาล... แต่ละคนคงมีความรู้สึกแรกผุดขึ้นมาในใจในรูปแบบที่ต่างกัน สำหรับฉันมันจะเริ่มต้นด้วยความสวยงาม ต่อด้วยความโรแมนติก และตามด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ (อันแสดงออกมาเป็นรูปธรรม) ของผู้ชายคนหนึ่งต่อผู้หญิงคนหนึ่ง ทัชมาฮาลเป็นอนุสรณ์ของความโหยหา ที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนฐานของความเศร้าและอาลัยอาวรณ์


 


เหมือนกับหลายๆ อย่างบนโลกใบนี้... เศร้าแต่น่าอาลัยอาวรณ์


แต่ถึงกระนั้นฉันก็เชื่อมาตลอดว่า ทัชมาฮาลไม่ได้โดดเด่นด้วยมุมเศร้าแต่เพียงด้านเดียว


 


แต่นั่นไม่ใช่สำหรับทัชมาฮาลที่อยู่บนดาวอังคาร


 


**ถ้าหนังสือฝันได้ หนังสือเล่มนี้อยากเป็นเครื่องบินเล็ก บินไปทำความรู้จักกับขอบฟ้าแห่งความรัก ความสุข ความเศร้า ความงาม ความฝัน และความจริง....


 


ถ้าโลกใบนี้มีขอบฟ้าแห่งความรัก ความสุข ความเศร้า ความงาม ความฝัน และความจริง เป็นองค์ประกอบอยู่จริง ขอบฟ้าที่ว่าของหนังสือเล่มนี้คงเป็นที่ที่ถูกคุมโทนด้วยสีหม่นและหมอง  สีหม่นและหมองที่ว่านั้น อาจดูผิดทำนองความคุ้นเคยที่ว่า.. ความสุขย่อมเป็นสีชมพู ความเศร้าต้องเป็นสีดำ... ของคนทั่วไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้


โลกในทัชมาฮาลบนดาวอังคารเป็นสีหม่นในทุกสถานการณ์


 


เมื่อจินตนาการได้อย่างสมจริงแล้ว...ทำให้ฉันนึกถึงบางช่วงเวลาของการใช้ชีวิต ช่วงเวลาที่เหมือนมีแว่นกันแดดโทนหมองมาบังตาอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างในชีวิตราบเรียบอยู่ในระนาบเดียวกันหมด... สุขด้วยสีเทา ...เศร้าด้วยสีน้ำตาลข้น... และมองโลกมองชีวิตด้วยดวงตาไร้แววแห่งสีสัน ช่วงเวลาที่ว่านั้นมีสาเหตุตั้งต้นได้จากหลายปัจจัย แต่ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในเวลาที่ความโดดเดี่ยวโดดเด่นอยู่ในชีวิตมากกว่าปกติ ..โดดเดี่ยวมากพอที่จะจ่อมจมอยู่กับเรื่องราวอะไรบางอย่างได้เป็นเวลานานๆ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้ บางครั้ง...เรารู้จักหยุดพิจารณารายละเอียดของชีวิตตัวเองได้อย่างละเมียดละไมมากขึ้นด้วย ถึงจะเป็นในแบบเศร้าๆ ก็ตามที


จากการพูดคุยกับคนรอบข้าง ฉันค้นพบว่า หลายๆ คนเคยรู้สึกแบบนี้เช่นกัน และเทียบเคียงความรู้สึกที่ว่านั้นกับความเหงา สุดท้ายก็ค้นพบว่ามันมีบางส่วนใกล้เคียงกัน เพียงแต่มันเป็นความเหงาที่ดูเป็นธรรมดาของชีวิต ธรรมดาเสียจนขี้เกียจมานั่งสนใจว่านั่นคือความเหงาหรือไม่นั่นเอง


 


ระยะหลัง...ชีวิตของฉันถูกหมุนไปด้วยแกนโลกของสังคมที่...เร็วจนต้องวิ่งตาม ทำให้ห่างเหินจากความรู้สึกที่ว่านั่นไปนานพอสมควร 


 


เพิ่งมารู้สึกสะดุดใจเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า เมื่อได้ทำความรู้จักกับคนวัยใกล้เคียงกันในหนังสือเล่มนี้... เด็กวัยรุ่นในนั้นฉลาดจนน่าอิจฉา แต่มองโลกด้วยความเศร้าเกินจริงจนน่าสงสัย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดต่อไปว่า ..... ไอ้ความเกินจริงที่ว่านั้น อันที่จริงแล้วมันคือความ...ไม่จริง ... หรือมัน ...จริง... เกินกว่าที่หัวใจคนเราจะรับได้กันแน่


 


โลกของทัชมาฮาลในโทนสีหม่นนี่น่าสงสัยจริงๆ


 


**จากปกหลังของหนังสือ