Skip to main content

เล่าเรื่องลมหนาว

คอลัมน์/ชุมชน

ประเดี๋ยวฟ้าคงจะสางแล้ว...เสียงไก่ขันแว่วมาไกลๆ จากหมู่บ้าน  อากาศหนาวเหน็บยะเยือก เสียจนต้องก่อไฟ  เผื่อพอได้ไอร้อน  น้ำค้างก็เปียกชื้น หากไม่ได้เก็บฟืนไว้ใต้ชายคาบ้าน  มันก็คงก่อไฟได้ยากเย็น  แม่แต่เกี๊ยะ  ที่ตากน้ำค้างทิ้งไว้ก็ยังติดไฟได้ยากนัก  ระบายลมออกจากปากแต่ละครั้งก็เกิดควันลอยพวยพุ่งออกมามากมาย 


 


ว่าอันที่จริง ปีนี้ลมหนาวมาช้ากว่าปีก่อนๆ นัก  แต่พอมาถึงก็มาอย่างเร่งเร้ารุนแรง  ลมหนาวที่พัดโชย นั่นยิ่งเพิ่มความหนาวเหน็บลงไปอีก  การมาแบบรุนแรงของลมหนาวนี่เอง ที่ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับฉับพลัน  ก่อนนั้น การเปลี่ยนผ่านระหว่าง ฝน – หนาว จะมาอย่างทำให้เรารู้เนื้อรู้ตัว ว่าก็คือ สายฝนสุดท้าย ฝนปรอยๆ  ตกลงมาต่อเนื่องหลายวัน อากาศก็จะเย็นลง และพอฝนเหือดหายไปจากฟ้านั่นแหละ  นั่นก็จะเป็นการก้าวเข้าสู่ฤดูหนาว  คล้ายว่า ฝนสุดท้ายนั้นพาลมหนาวมาส่ง  แล้วฝนก็จากไปให้หนาวทำหน้าที่แห่งฤดูกาลแทนตน  แต่ปีนี้ไม่มีฝนสุดท้ายนั้น....


 


ในแง่หนึ่ง...ช่วงเวลาของฤดูหนาว มักจะมีความหมายและเรื่องราวที่ดีๆ หลายเรื่องราว  ว่าก็คือ มันเป็นช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว  ผู้คนจึงมีเวลาว่างมากมาย  ชนบางกลุ่มใช้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงแห่งการเดินทางไกล  ไปเยี่ยมเยือนญาติพี่น้อง  หรือทำความรู้จักกับผู้คนในแถบถิ่นอื่นๆ  ส่วนชนกลุ่มที่ไม่ได้เดินทาง ก็คงใช้ช่วงนี้อยู่กับครอบครัว  หรือใช้ไปกับการท่องเที่ยวกับครอบครัว  วงสนทนา ถ้อยคำสนทนา  การบอกเล่า คำสอนของบรรพบุรุษ  ปรัมปรา ประวัติศาสตร์  เรื่องราวแต่หนหลัง  เรื่องราวในความทรงจำมากมายผุดโผล่ขึ้นมา  มันได้รับการกล่าวขาน บอกเล่าในช่วงเวลานี้  พรุ่งพรู่อยู่ข้างกองไฟอุ่น การส่งผ่านวิถีชีวิต ส่วนหนึ่งเป็นไปในระหว่างนี้  ด้วยที่มันเป็นโอกาสพิเศษ  ซึ่งจะว่าไปแล้ว ลมหนาวก็ไม่ได้อยู่ยาวนานนัก  แต่ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็ก่อให้เกิดบางสิ่งที่ดีงามได้  และในช่วงเวลาแห่งความหนาวเย็นนี้เอง ที่มันก็อาจจะมีผลทำให้หัวใจคนเย็นลง   ชีวิตผ่อนคลาย ไม่มีความเร่งรีบ  ยิ่งแล้วในวิถีเกษตรกรรม ช่วงเวลาหลังการเก็บเกี่ยว อากาศที่หนาวเหน็บจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีแห่งการเฉลิมฉลอง  โดยที่ผู้คนก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้นนักกระมัง


 


หัวใจที่เย็นลง  ชีวิตที่ไม่รีบเร่ง นี่จึงเป็นเวลาที่ดีสำหรับการสนทนา  พร้อมกันนั้นดอกไม้ป่าออกดอกสะพรั่ง สีสันสดใส  ประดับประดาท้องทุ่ง และภูเขา  ขณะที่ป่าบางป่าปลิดใบ ร่วงหล่นจนหมดต้น จนดูเหมือนภูเขาและป่าร้าง  แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อปรับสภาพรักษาความสมดุลของตนเท่านั้นเอง  อย่างไรเสีย ภาพความแห้งแล้งของฤดูหนาวก็ยังงดงามกว่าความแห้งแล้งของฤดูร้อนนัก  เมื่อช่วงเวลาแห่งฤดูร้อนนั้นมันคือฤดูแห่งการเตรียมผืนดิน ฤดูแห่งไฟ การงานอันหนักหนา   ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ว่าเฉพาะในวิถีเกษตรกรรมเท่านั้น  ซึ่งผู้คนในสังคมอุตสาหกรรม ผู้คนในเมืองใหญ่เปลี่ยนแปลงไปมากมายนักแล้ว  หลายอย่างมันจะไม่กลับมาอีก  เมื่อผู้คนย้ายที่ทำงานจากท้องทุ่ง ไปสู่อาคารหรูหลังใหญ่  มันจึงเป็นวิถีชีวิตที่ไร้ฤดูกาล


 


ฟ้าแจ้งแล้ว....เมื่อดวงตะวันสีแดง กลม โต โผล่ออกมาจากสุมทุมพุ่มไม้  ค่อยๆ ลอยดวงสูงขึ้นๆ  จากสีแดง กลายเป็นสีเหลือง (หรือเปล่า) ซึ่งนั่นสายตาเราไม่สามารถมองได้อีกแล้ว   บางแห่งหมอกยังคลุมอยู่  บางแห่งก็ค่อยๆ จางคลาย แผ่วบางและหายไป  ยิ่งสาย กองไฟก็ค่อยๆ หรี่แสงและมอดดับไป  วงสนทนารอบกองไฟค่อยๆ แยกย้าย บางผู้คนกลับลงไปสู่ท้องทุ่งอีกครั้ง บ้างจูงวัว จูงควายไปผูก  บ้างไปดูตาข่าย ดูเบ็ด หรือกิจธุระใดๆ ของตน  บางครั้งก็สงสัยอยู่ว่า  นอกจากชาวนาจะมีความฝันถึงการได้ข้าวเยอะๆ แล้ว ชาวนาจะฝันอะไรอีก  หรือลูกที่จากอาจจะมีความฝันเป็นเจ้าของกิจการ  แล้วพวกเขาฝันอะไรอีก  เจ้าของกิจการที่ฝันถึงความสำเร็จ ร่ำรวยมั่งคั่ง แล้วพวกเขายังฝันอะไรอีก  หรือกระทั่งนักบวชที่นอกจากจะฝันถึงการบรรลุธรรม แล้วพวกท่านยังจะฝันอะไรอีก  ว่าไปแล้วก็ดูเหมือนผู้คนก็เดินอยู่บนวิถีของตน  นั่นจะเป็นวิถีเดียวกันหรือเปล่าระหว่างชีวิตกับความฝัน นั่นก็ยากจะรู้ได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็แล้วแล้วแต่ดำเนินอยู่บนโชคชะตาของตนนั่นเอง


 


อย่างที่ว่า...ปีนี้ลมหนาวมาช้า แต่ก็มาแรงนัก อุปกรณ์กันหนาวที่ทิ้งไว้ตั้งแต่สิ้นหนาวคราวก่อนถูกรื้อค้นออกมาใช้จนครบทุกชิ้น  แต่อย่างไร อย่างที่ว่า ฤดูหนาวก็งดงาม ความหนาว ทำให้ชีวิต และหัวใจเย็นลงได้  แม้แต่แสงแดดยังดูนุ่มนวล และอ่อนโยนลง  ถึงดวงเดือนดวงดาวก็เช่นเดียวกัน  เช่นนั้นแล้ว...ขอให้หัวใจเติมอุ่นให้กันและกันเถิด...