Skip to main content

เรื่องเล่าของเด็กหนุ่มก่อนสิ้นปีเก่า

คอลัมน์/ชุมชน


 


ก่อนจะสิ้นปีนี้ หลายจังหวัดทั่วบ้านทั่วเมืองก็คงจะเผชิญอากาศที่แปรเปลี่ยนไปสู่ความดันอากาศต่ำที่ทำให้เกิดบรรยากาศหนาว เย็นไปทั่วทุกพื้นที่ อย่างกรุงเทพฯ ก็มีอากาศเย็นนิดๆ ในตอนพลบค่ำ มีข่าวคราวการแจกเสื้อผ้า ผ้าห่ม เพื่อบรรเทาภัยหนาวให้กับประชาชนในหลายพื้นที่


 


เมืองเชียงใหม่ก็ไม่ได้ต่างจากจังหวัดอื่นๆ สักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้อากาศหนาวมากๆ ในช่วงตอนกลางคืน เวลาเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา องศาที่ค่อยๆ ลดอุณหภูมิลงทำให้ร่างกายเล็กๆ ของเด็กหนุ่มอย่างผมอยู่ในสภาพหนาวเหน็บไปทั่วเรือนร่าง ไม่อยากอาบน้ำ ไม่อยากตื่นนอน บรรยากาศแบบนี้เหมาะแก่การไม่ทำอะไรทั้งสิ้น นอกเสียจาก นอนพิงหมอน กอดหมอนข้าง อยู่บนเตียง….


 


ความรู้สึกเดิมๆ ที่สังเกตเห็นภายในตัวเองคืออาการขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไร อยากพักผ่อน อยากอยู่กับตัวเองเงียบๆ นี้ มักเกิดขึ้นในช่วงท้ายปี ปีที่แล้วก็เป็นแบบนี้เลยแหละครับ พอมาท้ายปีนี้ ยิ่งความหนาวที่มาเยือนอีก ย่อมเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้นิสัยแบบเดิมๆ มีเหตุและปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการเช่นนั้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด


 


จะว่าไปตลอดปีที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่ค่อยได้นั่งหรือหยุดคิดทบทวนชีวิตตัวเองเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่ จะมีก็บางครั้งที่คิดมาก เครียดจนนอนไม่หลับ ถึงได้นั่งสมาธิ ทบทวนชีวิตก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้เก็บมาคิดให้ปวดหัวจนนอนไม่หลับหรือเครียดมากเกินไป นอกนั้นก็มีคนรู้จักหลายคนแนะนำผมเรื่องการให้เวลาตัวเองได้พักผ่อน เพราะเมื่อไหร่ที่ใครได้พบเจอ ก็มักถามว่า "งานยุ่งเหรอ" "ทำไมโทรมจัง" แล้วยังแนะมาว่า "พักผ่อนบ้างนะ" ตบท้ายบทสนทนาก่อนนั้น


 


บางครั้งพอฟังใหม่ๆ ช่วงแรกๆ ก็กลับไปทำดู แต่พอนานไปๆ ก็หลงลืม ไม่ใช่ว่าปฏิเสธความหวังดีนะครับ เพียงแต่ว่าผมมักมีเหตุผลให้กับตัวเองว่า "ไม่มีเวลา" เสมอ …. ข้ออ้างนี้ยิ่งเป็นเชื้อที่ทำให้ลืมเรื่องที่สำคัญๆ ต่อตัวเองไปมากเลยทีเดียวครับ


 


ที่ผมบอกกับใครๆ หลายคนว่า ไม่มีเวลา อยู่บ่อยๆ เมื่อคนนั้นๆ แนะนำสิ่งดีๆ ให้ทำ เวลามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเราที่ต้องบริหารให้ดี บางครั้งคนเราก็ตกอยู่ในหลุมพรางของเวลา ไม่มีเวลาทำนู้นทำนี้ ต่างๆ มากมาย


 


เวลาที่เรามีกัน มักเป็นเวลาที่ให้กับ "อะไรที่ด่วนๆ"  ที่บางครั้งสำคัญ บางครั้งก็ไม่สำคัญ แต่กลับหลงลืม "อะไรที่สำคัญๆ" แต่ไม่ด่วนตั้งมากมาย เช่น การพักผ่อนนั่งคิดทบทวนตัวเอง  การปฏิบัติธรรม เป็นต้น สำหรับผมเรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตตลอดปีที่ผ่านมา คือ งานและงาน ที่แตกต่างกันไป ทั้งนั่งทำอยู่ที่สำนักงาน ลงพื้นที่อบรม ทำค่ายกับเพื่อนเยาวชน ขีดๆ เขียนงานต่างๆ ประชุม สลับไปๆ มาๆ


 


บางทีก็สนุกกับงานที่ได้ทำ แต่บางครั้งก็ทำให้ชีวิตด้านต่างๆ ไม่ค่อยสมดุล ทั้งเรื่องครอบครัว พ่อแม่ เรื่องเพื่อนฝูงเก่าๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาติดต่อกันเลย เรื่องการเรียน (อันนี้ไม่อยากพูด แต่ต้องคิด เพราะมันก็ยังสำคัญอยู่) เรื่องสุขภาพตัวเอง บ่อยครั้งที่ไม่มีอะไรทำ ไม่มีงานทำแล้วจะรู้สึกเคว้งคว้าง ทั้งๆ ที่มีเรื่องอื่นๆ มากมายที่เราจะทำ แต่กลับไม่ทำ


 


อาจจะเป็นเพราะทำงานไปเรื่อยๆ จนทำให้ตัวเองเดินหน้าไปเรื่อยๆ จนไม่ได้หยุดพัก ผมคิดว่าอย่างนั้น - แต่เมื่อลองมองดู พิจารณา ไตร่ตรองกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเท่าไหร่ ก็ยังกลับหนีไม่พ้นภาวะงงแต่เรื่องงาน รายงาน เขียนโครงการ …สารพัดมากมาย  จนไม่ได้ทำเป็นจริงเป็นจัง คือ มันมีเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เข้ามา แล้วตัวเองก็สนใจไปเสียหมดทุกเรื่องจนลืมเรื่องที่สำคัญๆ ในชีวิตไป


 


พอมาถึงปีนี้ ในช่วงท้ายปี แม้ว่าตัวผมเองได้มีโอกาสหยุดงานยาวๆ ถึง 10 กว่าวันเพื่อไปวิปัสสนากรรมฐานที่พิษณุโลก ซึ่งเป็นการสอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า (www.thai.dhamma.org) ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ – ผมเดินทางไปโดยละวางงานต่างๆ ไว้เบื้องหลัง ปฏิเสธงานในช่วงที่จะเกิดขึ้นในช่วงวิปัสสนา เพื่อให้เวลาตัวเองได้ทำอะไรที่คิดว่าสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนดูบ้าง


 


การวิปัสสนาครั้งนี้ จัดขึ้นที่ศูนย์ธรรมอาภา, ปฏิบัติวิปัสสนา 10 วัน ตามหลักสูตรที่สมัครเข้ามา มีคนเข้าร่วมมากมายหลายคน ทั้งชาย หญิง ผู้ใหญ่ วัยรุ่น พระภิกษุสงฆ์ ชาวต่างชาติ กว่า 50 ชีวิต 

ผมคงไม่สามารถให้รายละเอียดได้ว่าปฏิบัติอย่างไร ได้ผลอย่างไร นะครับ เพราะไม่อยากสื่อสาร เนื่องเพราะหลายเรื่องผมคิดว่าหากใครอยากรู้หรือทราบว่าเป็นอย่างไรต้องให้เวลากับตัวเองทำแบบนี้ดูบ้าง


 


"นี่….ไปมาแล้วได้อะไรบ้าง" มีคนถามผม
ผมตอบกลับ "ยังไม่อยากตอบครับ ขอดูตัวเองไปเรื่อยก่อน ๆ เพราะปฏิบัติครั้งแรก และยังทำระยะสั้นๆ"
"แล้วจะทำยังไงต่อ" คนเดิมถามอีกครั้ง
"คงจะปฏิบัติไปเรื่อยนะครับ อยากให้เวลากับตรงนี้เหมือนกัน"


และจากนั้นพอเจอคนอื่นๆ บางคนก็มีถามมามากมาย เช่น ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมไม่ทำแบบนั้น ทำไม ทำไม บทสนทนาของผมหลังจากฟังเขานั้นๆ คือ เขียนชื่อเว็บไซต์ศูนย์ฯ ให้ แล้วแนะว่าต้องทำดูด้วยตัวเอง จึงจะรู้จริงๆ ว่าผลเป็นอย่างไร 


 


อยู่ที่นั่นไม่ได้ใช้โทรศัพท์ และสำหรับผมการไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่พูดคุยกับใคร สงบเงียบ นิ่ง อยู่กับตัวเองตลอดระยะเวลา 10 วัน ถือว่าเป็นวิถีชีวิตที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่มากๆ ทำให้รู้เลยว่าชีวิตที่เราเป็นอยู่ในสังคมทุกวันนี้ เราอยู่กับความต้องการทั้งนั้น ความต้องการนู่น ต้องการนี่ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่เราก็ต้องการแบบไม่หยุดยั้ง และมีทีท่าว่าไม่จบไม่สิ้น (ทุกวันนี้ผมก็เป็นอยู่บางส่วน - -‘) – การเท่าทันความต้องการต่างๆ ของตนจึงน่าจะเป็นทางออกได้ในระดับหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาทำงานตามปกติ ผมก็เริ่มรู้ในสิ่งที่ทำ และให้เวลากับการพักผ่อนมากยิ่งขึ้น ใส่ใจต่อเรื่องที่ไม่เคยใส่ใจมากขึ้นกว่าเดิม บางครั้งรู้สึกมีคำถามต่างๆ มากมายเกิดขึ้นกับสังคมที่เป็นอยู่


 


เช่น เรื่องมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ที่มีเพื่อนนักศึกษาหลายสถาบันเรียกร้องให้มีการหยุดทบทวน หรือไม่ให้มีการดำเนินการแต่รัฐบาลและสภานิติบัญญัติ ก็เดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจ ใส่ใจเสียงค้านของเยาวชนเลยแม้แต่น้อย พอวันหนึ่งรองนายกรัฐมนตรี "หม่อมอุ๋ย" ก็บอกว่า ชาติรอดแล้ว จากการประกาศอะไรสักอย่างไรตลาดหลักทรัพย์ ผมรู้สึกหดหู่ เศร้าใจมากๆ ที่รัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของชาติเพียงแค่เรื่องเงินทอง เรื่องหุ้น เรื่องหวย มากกว่าเรื่องการศึกษาของเยาวชน


 


คำถามของผมคือ การศึกษานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญหรือไม่ ทำไมผู้ใหญ่ในรัฐบาล หรือสภานิติบัญญัติ ไม่ใส่ใจต่อเสียงของนิสิต นักศึกษา  เยาวชน คนหนุ่มสาว ที่ทักท้วงเลย ….. ชาติจะรอดวันนี้เพียงแค่กระดานหุ้น แต่ไม่นานคงจะเป็นจุน  ขณะที่การศึกษาจะวุ่นวายในอนาคต ตอนนั้นชาติรอดไม่รอดไม่รู้ แต่วันนี้ดูเอากันเองนะครับ


 


คำถามในใจผมยังมีอีกมาก แต่ยังไงก็ตามพี่น้องทุกๆ คน ก็คงต้องช่วยกันตั้งคำถามต่อสังคมให้ดังๆ ต่อไปเรื่อยๆ
เรื่อยๆ ตลอดปี และทำอย่างต่อเนื่อง เสมอๆ 


 


อย่างตลอดปีที่ผ่านมา ในพื้นที่ "หนุ่มสาวสมัยนี้" ผมต้องขอขอบคุณพี่ๆ ประชาไท และคุณผู้อ่านทุกๆ ท่าน ที่ได้ติดตาม เข้ามาอ่าน มาทักทาย หรือ เอาไปเผยแพร่ต่อในเว็บไซต์อื่นๆ บางคนก็ส่งอีเมล์มาพูดคุย ทักทาย แนะนำ จนทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย บางคนที่เห็นแย้งก็ได้พูดคุยกันอย่างมีเหตุมีผล บางคนก็แสดงความคิดเห็นด่าอย่างไร้เหตุผลตามเว็บบอร์ดต่างๆ


 


เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น และข้อเขียนที่นำเสนอผ่านคอลัมน์น้อยๆ นี้ก็เป็นเพียงแค่เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่ง ที่ตั้งคำถามต่างๆ กันต่อสังคมโดยเฉพาะผู้ใหญ่ ทั้งดังบ้าง เงียบบ้าง หลายอารมณ์ มีน่ารัก น่าชัง คละกันไป เด็กหนุ่มอย่างผมได้เรียนรู้จากประชาไทในการเขียนใน "หนุ่มสาวสมัยนี้" มากเลยทีเดียวครับ 


 


หวังลึกๆ ว่า ปีต่อไป คงมีเรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนๆ เยาวชนคนอื่นๆ มาบอกเล่าให้คุณผู้อ่านได้ติดตามกันมากขึ้น และคงจะพบกับความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จากคอลัมน์นี้ – ต้องติดตามๆ

มาถึงตอนท้ายนี้ ขอให้ปีเก่า เป็นเรื่องเล่าดีๆ ที่จะเริ่มต้นชีวิตในปีใหม่ ในเวลาใหม่ของคุณผู้อ่านทุกๆ คน


 


พบกันอีกครั้ง ในปีใหม่ที่ใกล้มาเยือนนะครับ