Skip to main content

หมายเหตุคนสิ้นท่า

คอลัมน์/ชุมชน

สองวันก่อนมีงานเลี้ยงที่กรมแห่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกป่าๆ  ผู้เขียนไม่ได้ไปร่วมงานแต่อย่างใด  แต่จำเป็นต้อง "เก็บ" เพื่อนที่ช่วยดูแลบ้านผู้เขียน เนื่องจากมีคนโทฯมาบอกว่าเพื่อนผู้เขียนคนนี้เมามายมาก หลับคาวงเหล้าที่ฉลองในกรมนั้น (แปลกใจว่ากรมอะไรอนุญาตให้ทานเหล้ากันขนาดนั้น) คนที่โทฯมาเป็นเลขาฯ ของอธิบดีกรมฯ ที่เป็นคนนำพาเพื่อนผู้เขียนคนนี้เข้าไปในกรม โดยใช้อัตราการจัดจ้างที่ช่วยกันเอง อายุจะ 50 จบปริญญาตรีจากธรรมศาสตร์ แต่ไม่มีทางไป ไปไหนก็ทะเลาะกับชาวบ้านไปทั่ว แต่สำคัญตนผิดคิดว่าแน่ นี่ถ้าเป็นที่สหรัฐฯคงตายทั้งเป็นไปเสียแล้ว


 


มีคนถามว่าทำไมผู้เขียนจึงยอมให้คนแบบนี้เข้ามาในชีวิต เป็นคำถามที่ดี อันแรกคือคบกันมานานเห็นแก่มิตรภาพอันเก่าแก่ อย่างน้อยแบบไทยๆ เรียกว่ายังมีแก่ใจกับอดีตที่เค้าเป็นคนดี อันที่สองคือถือเป็นการช่วยเหลือสังคมทางอ้อมเพราะในสังคมไทยไม่มีกระบวนการที่จะโอบอุ้มคนที่สิ้นท่า หรือ loser หลายคนจึงเป็นคนเร่ร่อน คนขี้โกง การช่วยเพื่อนคนนี้ถือเป็นสังคมสงเคราะห์อีกด้านหนึ่ง


 


ขอเริ่มเล่าชีวิตของเพื่อนคนนี้ตั้งแต่เริ่มคบ เราคบกันแบบ "เพื่อนสาว" ตั้งแต่ปี 2525 ที่ธรรมศาสตร์ ขณะนั้นผู้เขียนอยู่ ปี 1 เธออยู่ปี4 เพราะบ้านพักเธออยู่ใกล้กับบ้านผู้เขียนในขณะนั้น เธอเป็น "สาว" จากแดนอีสาน หน้าเธอคมเข้มแบบหนุ่มอีสาน มีคนมาจีบเธอแยะ เป็นที่เลื่องลือว่าเธอเป็นสาวฮ็อตคนหนึ่งในขณะนั้น เธอมีความภูมิใจและหัวสูงมากกับการเอ็นท์ติดธรรมศาสตร์ คณะพาณิชย์ฯ เพราะสมัยก่อนติดยาก แต่ว่าอนิจจาเธอเป็นเด็กสายวิทย์ มาติดคณะนี้ ถือว่าเป็นการเลือกเผื่อๆไว้ อย่างไรก็ตาม เธอจะคุยไปทั่วว่าคณะเธอมีแต่เริ่ดๆ ยิ่งเมื่อเรียนจบแล้วเธอไปทำงานที่ไหน ใครๆก็ดีสู้เธอไม่ได้ 


 


เธอเรียนจบจากธรรมศาสตร์พร้อมกันกับผู้เขียน เธอเรียน 7 ปีจบ คลานออกพร้อมกับเกรด 2.00 เธอมักจะอ้างว่า นี่ยังดีนะที่ไม่ใช้ซัมเมอร์ในปีที่ 7 ไม่งั้นคงได้ใช้ครบโควตาของธรรมศาสตร์ที่ให้มา  ผู้เขียนเคยลงวิชาเดียวกับเธอพร้อมกัน ผู้เขียนต้องทำรายงานให้เธอ หลายครั้งเธอไม่เข้าเรียน ผู้เขียนก็จดงานให้  ผู้เขียนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงหลายหน แต่ด้วยเธอเป็นคนที่ไม่เรื่องมากในสมัยนั้น และไม่โกหกไม่ตอแหลแบบที่เกย์หลายๆ คนที่รู้จักในขณะนั้นมักจะเป็น (ขออภัยที่จะมีอคติแบบนี้ เพราะพบว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ) นอกจากจะขี้เกียจ ทำให้รู้สึกว่าพอทนได้


 


ก่อนเรียนจบ ที่บ้านของผู้เขียนกำลังปลูกบ้านอีกหลังหนึ่ง นับว่าใหญ่ยักษ์ในสมัยนั้น  เพื่อนผู้นี้ก็มาแวะมาพักกับผู้เขียนเป็นครั้งคราว หลายคนนึกว่าเราเป็นแฟนกัน  ผู้เขียนได้แต่ขำ เพราะต่างคนต่างมี "สเป๊ก" ของตนเอง เราเป็นแค่เพื่อนสาวแสนสนิทเท่านั้น แล้วเมื่อผู้เขียนย้ายเข้าบ้านใหม่ ได้ไม่นาน ผู้เขียนก็บินไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ ขาดการติดต่อไปสักสองปี กลับมาก็มาคบกันใหม่ เพื่อนคนนี้เปลี่ยนไป มีนิสัยเรื่องการเงินเพราะใช้เงินมือเติบและไม่ได้ทำงาน ตอนนั้นเธอไปติดพันกับหนุ่มคนหนึ่ง ขนาดไปเรียนแทนให้ที่รามฯ เสียแต่ว่ายังไม่ไปสอบแทนเท่านั้น


 


หลังจากที่เลิกกับหนุ่มคนนั้น  เธอได้ไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่ง เงินเดือนต่ำพอสมควร แต่เธอก็ทำเพราะว่าเป็นงานสบาย ไม่ต้องใช้ความรู้มากมาย ในช่วงนั้นเธอมาอยู่กับผู้เขียนในบ้านใหม่ที่สร้าง เพราะเราไปท่องราตรีด้วยกัน  เธอช่วยดูแลบ้านในส่วนที่ผู้เขียนอยู่ ยอมซักแม้แต่ชั้นในของผู้เขียน ยอมล้างห้องน้ำ เอาเป็นว่าเธอบริการผู้เขียน ทำให้ซาบซึ้งในน้ำใจ ทำให้ผู้เขียนเริ่มให้เงินช่วยเหลือเพราะเห็นว่าเงินเริ่มขาดมือ


 


จากนั้นผู้เขียนไปเรียนต่ออีกหน  เธอก็ย้ายงานไปทำอีกแห่งหนึ่ง แถวปากน้ำ ทำให้เธอได้พบกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง เธอทุ่มเทกับเด็กคนนี้มาก เป็นช่วงที่เศรษฐกิจบูม เธอจึงได้บัตรเครดิตมาหลายใบ จากนั้นเธอไปทำงานที่ตราด ได้เงินเดือนหลายหมื่น ในระหว่างนั้นเธอก็ได้ใช้เงินสดและจากบัตรเครดิตปรนเปรอเด็กหนุ่มคนนั้น จนเป็นหนี้บัตรเครดิตกว่าสองแสนบาท เพราะได้แต่ใช้ไม่มีเงินจ่ายบิล จากนั้นก่อนผู้เขียนจะกลับมาเศรษฐกิจฟองสบู่แตก เธอจึงซมซานกลับมาจากตราด มาที่บ้านเดิมที่เธอเคยอยู่พร้อมหนี้ก้อนใหญ่ที่ตอนนี้กลายเป็นกว่าสี่แสนไปแล้ว


 


พอดีกับที่ผู้เขียนกลับมาจากเรียนจบ ผู้เขียนต้องย้ายเข้ามาบ้านหลังเล็กที่พี่สาวเคยใช้เป็นเรือนหอ เพราะว่าพี่ชายอีกคนได้ขโมยห้องที่อยู่บ้านเดิมของผู้เขียนไป บ้านหลังนี้ถูกทิ้งให้รกร้างเป็นปี เมื่อกลับมาจึงมีงานต้องทำมากมาย ผู้เขียนได้ขอให้เพื่อนคนนี้มาช่วยผู้เขียนดูแลบ้านเพราะผู้เขียนต้องทำงานข้างนอกมากมาย หากมามัวแต่ห่วงเรื่องงานบ้านทั้งหมดคงทำงานไม่ได้ไปไหน เพื่อนผู้นี้ได้เรียกร้องให้ผู้เขียนจ่ายเงินขัดดอกบัตรเครดิตเป็นจำนวนรวมกันเป็นแสนในช่วงเวลาสามปีกว่าๆ ที่ผู้เขียนอยู่เมืองไทย ทั้งนี้ไม่รวมกับการที่ให้อยู่กินในบ้านของผู้เขียนฟรีๆ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือหลายครั้งก็ไม่ยอมทำงานบ้าน ทั้งที่ผู้เขียนก็กำหนดเงินเดือนให้กว่าหกพันบาทต่อเดือน ในระหว่างนั้นผู้เขียนเห็นว่าว่างมากจึงพาไปฝากงานสอนหนังสือ แต่อนาถใจ ไม่ว่าเธอไปไหนก็ทะเลาะกับชาวบ้านทั่วไปทั้งหมด 

 



ในที่สุดผู้เขียนได้ไปทำงานที่สหรัฐฯ ก่อนได้งานผู้เขียนวุ่นวายกับชีวิตมากมาย จนทำให้ติดต่อจากอเมริกาไม่ได้มาก จำได้ว่าเมื่อได้งานก็รีบกลับมาดูบ้านที่เมืองไทยทันที พร้อมทั้งทิ้งเงินไว้ให้กับเพื่อนคนนี้หลายหมื่นบาท บอกว่าจะมาให้เป็นเงินปี แต่ให้แล้วก็ปรากฏว่าหมดในไม่เกินเดือน บ่นต่อว่าผู้เขียนว่าให้เงินน้อยไป หลายครั้งที่ผู้เขียนโทฯมาเพื่อเช็คความปกติของบ้าน ก็ไม่ยอมรับสาย เพียงเพราะกลัวว่าบริษัทที่รับทวงหนี้จะโทฯเข้ามา จนต้องเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินค่าจ้างดูแลเป็นเงินรายเดือนผ่านบัตรเอทีเอ็มจากอเมริกา ทำให้ชีวิตของคนๆนี้พอสงบลง ดีที่ว่าไม่นานมานี้มีงานจัดจ้างแบบพรรคพวกช่วยกันจึงทำให้ไม่เป็นบ้ามากนัก แต่เงินก็ไม่เคยพอใช้ เพราะค่าจ้างแค่เดือนละเจ็ดพันกว่าบาท แต่ใช้เงินเป็นเบี้ยหัวแตก


 


วันนี้เธอเพิ่งได้ต่อสัญญางานจัดจ้างตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น วันนี้เธอก็ไปหลงรักเด็กที่เธอเคยสอนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เด็กคนนี้ก็กลายเป็นเทวดา พ่อแม่ของเด็กก็รู้ว่าไปติดพันลูกเค้า ไม่ได้พอใจในการคบกันเท่าไรแต่มีมารยาทที่จะไม่แสดงออก ตอนนี้ได้รู้มาว่าไปขอเงินเด็กคนนี้ เด็กคนนี้ก็ได้ให้เงินอีก (มิน่าจึงมองเห็นเด็กเป็นเทวดา อยากให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันเสียเลย) เธออ้างว่าเด็กมีเงินเดือน ซึ่งผู้เขียนไม่ใคร่จะเชื่อนัก เอาเป็นว่าคนรอบข้างต้องจุนเจือเพื่อนคนนี้ตลอด ขณะนี้ผู้เขียนบอกว่ามีงานทำแล้วและเงินเดือนผู้เขียนไม่ได้มากเหมือนสมัยทำงานเมืองนอกจึงขอลดมาให้เป็นอาทิตย์ละ 200 บาท แต่ว่ากินอยู่ในบ้านตามสบาย และพาไปทานข้าวนอกบ้านบ้าง ซึ่งมื้อหนึ่งก็สองสามร้อยขึ้นไปและผู้เขียนก็เลี้ยงทุกมื้อ  รู้มาว่าเพื่อนคนนี้ชอบเล่นหวยเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย ตอนนี้บัณฑิตจากธรรมศาสตร์สุดจองหองกลายมาเป็นแค่พนักงานเดินหนังสือ บ้าหวย บ้าผู้ชาย และเป็นหนี้คนไปทั่ว


 


ทุกวันนี้เธอจะมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวหงุดหงิด เมื่อผู้เขียนกลับเข้าบ้าน แบบสามวันดี สี่วันร้าย จะไม่เอ่ยปากไล่เป็นอันขาดเนื่องจากเราเชิญเขามา แต่น่าเสียใจที่เพื่อนคนนี้ไม่เคยมองอะไรเกินตนเอง คิดว่าตนเองให้ แต่คนอื่นรับ เป็นคนที่ "สิ้นท่า" แต่จองหอง ไม่เคยทำอะไรได้ ตลกปาหี่ไปวันๆ ทั้งนี้ยังมีผลงานเหลือเชื่ออีกมากมายอีกมาก เช่น กินเหล้าเมาแล้วล้มกระแทกขอบบันได เลือดกบปาก สลบไป ที่ร้ายกว่านั้นคือ ตอนนี้เค้ามีความรู้สึกว่าเราอาศัยบ้านเค้าอยู่ มากกว่าเราเป็นเจ้าของบ้าน


 


หลายครั้งที่ผู้เขียนมองเพื่อนคนนี้อย่างเวทนา คนสนิทหลายคนบ่นเห็นใจผู้เขียนว่าทำไมทน ผู้เขียนไม่ได้ทน แต่มองว่าเป็นสังคมสงเคราะห์  ทำเท่าที่ทำได้ จริงๆแล้วเพื่อนผู้เขียนคนนี้มีอะไรน่าเกลียดๆอีกมาก แต่เพราะว่าเราคบกันมานาน จึงไม่คิดว่าจะทำอะไรรุนแรง แต่เราให้เกียรติเค้าก็ไม่เคยคิด แถมมองว่าเรามาเอาประโยชน์จากเค้า


 


จำได้ว่าเคยเขียนบทความถึงนักศึกษาที่เป็นคน "สิ้นท่า"[i] แล้วผู้เขียนก็ต้องเข้าไปช่วยแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน ปัญหาคือคนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเป็นคนสร้างผลผลิตในสังคม คุณค่าทางสังคมที่เน้นการเป็นคนมีความสามารถและบากบั่นไม่มีอยู่ในใจคนพวกนี้ หลายครั้งแม้จะให้โอกาสแต่โอกาสที่เราให้มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เพราะยากที่จะทำ ต้องไม่ขี้เกียจ ต้องต่อสู้ ดังนั้นโครงการประชานิยมต่างๆจึงเป็นที่นิยมในสังคมที่มีคนแบบนี้


 


บทความนี้อาจออกมาช้าไปนิด เมื่อพูดถึง "ประชานิยม" ในเมืองไทย แต่ประเด็นก็คือ สังคมไทยคงไม่มีทางหลุดไปจาก "ประชานิยม" เพราะความขี้เกียจซึมลงไปในทุกอณูของสังคมเสียแล้ว ทุกวันนี้เจอแต่คนแบบนี้มากมาย จากคนใกล้ตัวจนถึงคนไกลตัว


 


คงต้องดูกันไปเรื่อยๆ ดังเพื่อนฝรั่งที่มาสอนเมืองไทยเพิ่งบอกว่า "เรื่องของวัฒนธรรม คงเปลี่ยนลำบาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบางสังคมที่เปลี่ยนอะไรได้ยาก" เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผู้เขียนนิ่งและตีบตันในตรงนั้น






[i] "บางแง่มุมของเรื่องบุคคลชายขอบ" http://www.prachatai.com/05web/th/columnist/viewcontent.php?SystemModul…