Skip to main content

DIARY และอาวุธที่สำคัญของมนุษย์

ผมเริ่มเขียนบันทึกประจำวัน


เป็นเรื่องเป็นราวมานานสองปี  หลังจากที่เขียนไว้ในสมุดเล่มนั้นนิดเล่มนี้หน่อยมานานหลายปี ที่บอกว่าเขียนเป็นเรื่องเป็นราวในความหมายของผมก็คือ เมื่อใกล้ถึงวันสิ้นปี ผมจะเที่ยวไปหาซื้อสมุดบันทึกประจำวัน ที่เราเรียกกันทับศัพท์ภาษาอังกฤษจนคุ้นหูว่า ไดอารี่ ที่มีหน้ากระดาษให้เขียนวันละหนึ่งหน้า ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์จะแบ่งเป็นหน้าละสองวัน ซึ่งแต่ละหน้าจะมีตัวพิมพ์บอกวัน เดือน ปี พิมพ์กำกับไว้ที่มุมซ้ายบนหัวกระดาษทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมจนถึงวันสิ้นปี 31 ธันวาคม ตามรูปแบบของไดอารี่ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละครับ


 


จากนั้นพอถึงวันเริ่มต้นปีใหม่


ผมก็จะพยายามเขียนบันทึกประจำวันลงในไดอารี่ทุกวันไม่ว่าจะอยู่กับบ้าน หรือขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปทำอะไรกับใครที่ไหน วันไหนถ้าขี้เกียจเต็มที ก็เขียนหวัด ๆ เอาแต่เรื่องที่สำคัญที่สุดในวันนั้น สักสองสามประโยค ประมาณว่ากลับมาพลิก ๆ อ่านดูภายหลัง พอจะนึกเห็นภาพวันคืนที่ล่วงลับไปแล้วได้พอสมควร


 


วันไหนถ้าไม่ได้เขียน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ๆ  ผมก็จะพยายามเขียนในวันต่อมา ยกเว้นบางช่วงที่ละเลยไว้หลายวัน จนจำเรื่องราวเหตุการณ์บางวันที่ล่วงลับห่างไกลออกไปสับสน-หรือจำไม่ได้ ผมก็ปล่อยหน้ากระดาษว่าง ๆ เอาไว้หรือไม่ก็เขียนอย่างอื่นลงไปทดแทน เช่นเดียวกับบางวันที่ผมไม่อยากจะจดจำ เรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผมได้ประสบในวันนั้นเอาไว้ ผมก็ปล่อยหน้ากระดาษว่าง ๆ เอาไว้เหมือนกัน


 


เพราะบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่คนเราได้พบปะ มันเป็นเรื่องที่เราควรจะลืม มากกว่าควรจะจดจำเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่เราระลึกถึงแล้ว ทำให้จิตใจหดหู่เศร้าหมอง หรือทำให้เราเจ็บปวดและโกรธแค้น ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวและเหตุการณ์นั้น ๆ ได้เกิดขึ้นและจบสิ้นไปแล้ว เหมือนความฝันที่จับต้องไม่ได้ ผมจะไม่เขียนถึงวันนั้น เพื่อจดจำ เอาไว้ทำร้ายจิตใจตัวเองอีก…


 


แต่ถ้าหากมีบางวัน


ที่ผมอยากจะจดจำ เรื่องราวและเหตุการณ์อะไรบางอย่างเอาไว้เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างถึงที่สุด แม้แต่สมุดบันทึกประจำวันของตัวเอง ก็ไม่อยากให้มีส่วนได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีงามหรือเลวร้าย ผมก็จะเขียนรหัสลับเอาไว้อ่านและรู้เฉพาะตัวผมคนเดียว


 


นอกจากเขียนบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์แต่ละวัน ที่ตัวเองได้ประสบลงไว้ในไดอารี่แล้ว ผมยังชอบจดคติ คำคม สุภาษิต หรือข้อความที่ประทับใจที่ผมได้อ่านจากหนังสือ หรือไม่ก็เป็นคำพูดดี ๆ ของใครสักคนหนึ่ง ที่ผมได้ฟังจากที่โน่นที่นี่ ลงไว้ในไดอารี่ด้วย…


 


สาเหตุที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาเขียนบันทึกประจำวัน


ด้วยท่าทีที่ค่อนข้างจริงจังดังกล่าว ประการแรกมีสาเหตุมาจากการทำงานเขียน  ที่ผมเพิ่งมาตระหนักด้วยตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ว่า ไม่ว่าผมจะทำงานเขียนบทกวี เรื่องสั้น สารคดี บทความ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมพบว่าวัตถุดิบที่เป็นแกนกลางที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำงานเขียน คือประสบการณ์โดยตรงจากชีวิตนั่นเอง ประการต่อมา เวลาผมนึกถึงเรื่องราวที่สำคัญของชีวิต บางเรื่องที่ผมละเลยไม่ได้เขียนบันทึกเอาไว้ ผมมักจะจำได้แต่เรื่องราว แต่จำวัน เดือน ปี และรายละเอียดไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ไดอารี่-สมุดบันทึกประจำวัน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผม            เพราะไดอารี่ นอกจากจะช่วยให้เราได้ทบทวนเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านไปได้อย่างแม่นยำแล้ว ไดอารี่ยังเป็นกระจกเงา ที่สะท้อนภาพไห้เรามองเห็น ความเป็นไปในชีวิตของเราในแง่มุมต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน


 


ความดีงามอีกประการหนึ่ง


ที่ผมค้นพบจากไดอารี่ เวลาที่ผมไปหยิบไดอารี่เล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เหมือนอ่านหนังสือสักเล่มหนึ่ง ตั้งแต่หน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้าย ผมจะพบสัจธรรมข้อหนึ่งของชีวิตจากไดอารี่โดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นคือผมจะพบว่า เรื่องราวทุก ๆ เรื่องราว เหตุการณ์ทุก ๆ เหตุการณ์ ที่ผมได้ประสบ ล้วนแล้วแต่เป็นปรากฏการณ์ ของชีวิตที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีสถานการณ์ใด ๆ ของชีวิตที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์


 


วันคืนอันโหดร้ายที่สุดของชีวิต ที่ทำให้เรารู้สึกว่าวันแต่ละวัน ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับการเดินทางของหอยทากไปสู่ดวงดาว ถ้าเราอดทนยอมรับและเผชิญหน้ากับมันได้ วันหนึ่งมันก็จะค่อย ๆ จากเราไป พร้อมกับบทเรียนของชีวิตที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น


 


วันคืนที่สวยสดงดงามของชีวิต ที่ทำให้เรารู้สึกว่าวันแต่ละวัน ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน ไม่ว่าเราจะพยายามยื้อยุดมันเอาไว้สักเท่าไหร่ แต่เมื่อถึงเวลามันก็ต้องจากเราไป พร้อมกับบทเรียนชีวิต ที่สอนให้เรารู้จักการปล่อยวาง เมื่อถึงเวลาที่เราควรปล่อยวาง สิ่งเราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ได้


 


เพราะชีวิตนี้ คือความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ  แต่เราก็ไม่สามารถที่จะหักห้ามมันได้ ถ้ามันมีเหตุปัจจัยเพียงพอที่จะเกิดมันก็ต้องเกิด นั่นหมายความว่า เมื่อความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นกับชีวิตของใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ เขาจะต้องทำความเข้าใจกับมัน ยอมรับมัน และปรับตัวให้เข้ากับมันให้ได้ หาไม่เช่นนั้น ชีวิตก็ยากที่จะอยู่รอดปลอดภัย


 


บนถนนสายหนึ่ง ที่ห้ามไม่ให้ยวดยานพาหนะวิ่งผ่าน คุณเคยเดินเอ้อระเหยอยู่กลางถนน เข้า ๆ ออก ๆ ด้วยความสะดวกสบาย และรู้สึกปลอดภัยมานานหลายปี แต่แล้ววันหนึ่งเกิดมีการอนุญาตให้ยวดยานพาหนะ วิ่งผ่านเข้าออกผ่านบนถนนสายนี้


 


นั่นหมายความว่า ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับคุณขึ้นมาแล้ว ถ้าคุณยังรักหรือจำเป็นจะต้องเดินอยู่บนถนนสายนี้ คุณจะต้องรู้จักปรับตัวในการเดินบนถนนสายนี้ใหม่ ใช่หรือมิใช่ อย่างน้อยคุณก็ไม่สามารถเดินเอ้อระเหยอยู่กลางถนนเข้า ๆ ออก ๆได้เหมือนเมื่อก่อน และถึงแม้คุณจะเดินชิดขอบทางหรือเดินบนบาทวิถี คุณก็ยังต้องระมัดระวังรถคันใดคันหนึ่ง ที่อาจจะเสียหลักหลงทิศทางเข้ามาชนคุณเอาดื้อ ๆ  คุณจึงจะเดินบนถนนที่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงสายนี้ ได้ด้วยความปลอดภัยระดับหนึ่ง


 


นี่คือเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง


เพื่อการอยู่รอดของชีวิตอย่างง่าย ๆ


จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่ความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงในด้านลบ มักจะทำความเจ็บปวดให้กับคนที่เคยชินและติดยึดอยู่กับสิ่งเก่า ๆ อยู่เสมอ เพราะมันทำให้เขาสูญเสียความสุขและความสะดวกสบาย และยิ่งถ้าเขาไม่ยอมทำความเข้าใจ ไม่ยอมรับปรับตัว ชีวิตเขาย่อมมีอันเป็นไป…ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เพราะถึงเวลาที่คุณต้องเดินตามข้างถนนแล้ว แต่คุณก็ยังไม่ยอมเดิน… คิดหรือว่าชีวิตของคุณจะปลอดภัย


 


นักเขียนอาวุโสท่านหนึ่ง


เคยพูดให้ผมฟังว่า อาวุธที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ในการต่อสู้เพื่อการอยู่รอดของชีวิต คือความเข้าใจผู้คนและสังคม ในขณะที่นักสังคมวิทยาคนหนึ่งกล่าวว่า คือการรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ของชีวิต


 


เมื่อนำคำตอบสองคำตอบนี้มาหลอมรวมกัน ผมคิดว่าเราพอจะได้คำตอบที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ในการต่อสู้เพื่อการอยู่รอดของชีวิต ถึงแม้การอยู่รอดจะมิใช่คุณค่าความหมายทั้งหมดของชีวิต แต่การอยู่รอดก็คือพื้นฐานเบื้อต้นที่สำคัญที่สุดของชีวิต


 


เพราะตราบใด ที่คนเรายังไม่สามารถต่อสู้เพื่อการอยู่รอดได้ ก็ป่วยการที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น ๆ คนเราจะต้องต่อสู้ให้ชีวิตอยู่รอด และยืนอยู่ในสังคมให้ได้ก่อน จากนั้น – เขาจึงจะสามารถคิดและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ เพราะตราบใดที่ท้องของคุณยังร้องหิวโหย เสื้อผ้ายังขาดวิ่น ที่ซุกหัวนอนยังไม่รู้อยู่ที่ไหน ยามเจ็บไข้ได้ป่วยยังไม่รู้จะไปพึ่งพาใคร คุณไม่มีวันที่จะเขียนบทกวีถึงดอกกุหลาบสีแดงในแจกันทองได้หรอก


 


ถ้าหากคุณไม่ใช่กวีโรแมนติก


ที่กำลังจะเป็นบ้า…


 



 


ย่างขึ้นปี พ..2550


ผมขออวยพรให้ผู้อ่านประชาไททุกท่าน จงประสบแต่ความสุขและความสมหวังในชีวิตตลอดปีนี้  สวัสดีปีใหม่ครับผม.


 


28 ธันวาคม 2549


กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่