Skip to main content

หลวงพระบาง (ตอนจบ) : เที่ยวผับ-เธคแบบลาวๆ

คอลัมน์/ชุมชน

จันทน์กระพ้อ


 


เราหย่อนก้นลงบนม้านั่งภายในร้าน Lao Lao Garden ผับแรกสำหรับเราในค่ำคืนนี้


 


"อิน" พนักงานเสิร์ฟยกเหล้าลาวมาบริการเรา 2 จอก สีของมันเขียวใส  กลิ่นคล้ายน้ำมันเครื่อง  แต่เมื่อยกจรดริมฝีปากแล้วลอง "กรึ๊ป" ดู  รสชาติกลับไม่แรงเหมือนสีและกลิ่น  เข้าใจว่าน่าจะเป็นน้ำเฮลซ์บลูบอยสีเขียวผสมเหล้าในปริมาณที่จะไม่ทำให้แขกมึนก่อนที่จะเอ่ยปากสั่ง "ดริ้งค์" 


 


คืนนั้นฉันสั่งคอกเทลส้มผสมสัปปะรด  ส่วนคนที่ไปด้วยสั่งเบียร์ (ดำ) ลาว  รสชาติของเครื่องดื่มเป็นไงน่ะหรือคะ  คอกเทลผสมเหล้ามากเกินไปจนลืมความอร่อย  ส่วนเบียร์ (ดำ) ลาว ฉันก็ไม่ค่อยชอบค่ะ  แต่คนที่ไปด้วยบอกขออีกขวด  เพราะรสชาติมันดิบดี!


 


สำหรับบรรยากาศภายในร้านตกแต่งมีสไตล์ใช้ได้ทีเดียวค่ะ  Highlight ของร้านอยู่ที่กองไฟที่สุมอยู่กลางร้านเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับลูกค้า (ถึงแม้ตอนกลางวันที่หลวงพระบางจะร้อนมาก  แต่ตอนเช้ากับตอนกลางคืนก็หนาวมากเหมือนกันค่ะ) เข้าใจว่า เจ้าของน่าจะเป็นฝรั่งเพราะเห็นแกนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์  คอยเปิดเพลงฝรั่งหาฟังยาก  ดนตรีออกฮาวายๆ คล้ายๆ ร้าน "Moonshine Bar" แถบข้าวสารบ้านเราให้ฟัง  เพลงทำนองนี้ฟังแล้ว "ชิลด์" ดี...นอกจากนี้แกยังมีหน้าที่เขี่ยฟืนเพิ่มศักยภาพให้กับไฟเพื่อต่อสู้กับความหนาวเย็นของอากาศ  ถึงแม้เครื่องดื่มจะไม่ถูกปาก  แต่บรรยากาศดีๆ แบบนี้ก็ถือว่าแฮปปี้ดีใช้ได้ค่ะ


 


แต่ด้วยความที่บ้านไกล  เวลาน้อย  จะนั่งชิมบรรยากาศที่ Lao Lao Garden ร้านเดียวคงไม่พอ


 


 


 




บรรยากาศร้าน Lao LaoGarden


 


 


 


บรรยากาศร้าน Hive


 


หนึ่งชั่วโมงต่อมา  เราจึงย้ายฐานที่มั่นมานั่งประจำการเป็นลูกค้าร้าน Hive เรียบร้อยโรงเรียนลาว  ร้านนี้เปิดเพลงฝรั่งมีจังหวะ  ใครรู้สึกคึกคักก็สามารถลุกขึ้นมาเต้นได้  สไตล์การตกแต่งร้านคล้ายผับย่านทองหล่อบ้านเรา  เรานั่งอยู่ที่นี่สักพักก็ลุกออกมามุ่งหน้ากลับเฮือนพัก  ทางไกล...แต่ความเหนื่อยในการเดินเท้าถูกแทนที่ด้วย ถนน  อากาศ และความเงียบของหลวงพระบางที่ช่วยกันสร้างความสุขใจให้ยังไงก็ไม่รู้  ถ้ามีโอกาส...อย่าลืมไปลองเดินแบบนี้ที่หลวงพระบางดูบ้างนะคะ


 


ถึงเฮือนพัก  นอนหลับพักผ่อน  แล้วตื่นขึ้นมาตักบาตร + ไปตลาดเช้าเหมือนเมื่อวาน  แต่เมนูของเราในวันนี้นั่งกินต่อหน้าแม่ค้าที่ตลาดเช้าเลยค่ะ  นั่นก็คือ  แหนมข้าว  กรรมวิธีการทำคล้ายข้าวเกรียบปากหม้อห่อไส้หมูผสมผัก  มีน้ำจิ้มรสชาติเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ มันๆ (เพราะใส่ถั่ว) ให้ราด  รสชาติ อร่อยมากจนต้องขอยกให้เป็น  "The Best Food of Luang Pra Bang" ขนาดนั้นเลยค่ะ


 


 




แหนมข้าว: The Best Food of Luang Pra Bang


 


กินอิ่มกลับห้อง  เราปรึกษากับคนดูแลห้องพักว่า  ในวันสุดท้ายของเราแบบนี้ควรจะไปเที่ยวที่ไหนดี  เค้าก็แนะนำว่า  ไปที่ๆ ไม่ไกลมากอย่างตลาดจีน กับ ตลาดพูสีก็ดีเหมือนกัน  เราเชื่อฟังเค้าอย่างว่าง่าย  เดินตรงออกมาจากเฮือนพัก  จับรถไปตลาดจีนทันที


 


นั่งรถประมาณ 10 ป้ายรถเมล์ก็ถึงตลาดจีน  มาที่นี่รู้สึกผิดหวังเพราะมีแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า  ของใช้ และเสื้อผ้าแบบจีนๆ ขาย  คนขายก็เป็นคนจีนพูดภาษาจีน  กินข้าวใช้ตะเกียบ  เมื่อเดินวนครบรอบ  เราจึง


รีบย้ายตัวเองไปสู่ตลาดพูสี  เพราะต้องการกลับสู่ชีวิตความเป็นอยู่แบบลาวๆ อีกครั้ง


 


ตลาดพูสีมีของขายเยอะ  และแม่ค้าก็เป็นคนลาว  ของที่ขายมีตั้งแต่ซีดีเพลง  คาราโอเกะ  อาหาร (ส้มตำ กับ บาร์แก๊ต)   ขนม (ขายส่งเป็นแพ็ค) ผัก  ผลไม้  เสื้อผ้า  ยา  และเครื่องสำอางค่ะ  ดูผิวเผินอาจรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในตลาดกิมหยงที่สงขลา  เพราะบรรยากาศประมาณนั้น  เราได้ซีดีคาราโอเกะศิลปินลาวมา 2 แผ่น บางเพลงเพราะดี  ส่วนมิวสิกวีดีโออยู่ในเกณฑ์ดูง่ายไม่มีอะไรปรุงแต่งมากมายค่ะ


 


เที่ยวเสร็จแล้ว  แต่เพิ่งจะบ่าย 2 โมงเอง  ครั้นจะเข้าเมืองไปใจกลางเมืองก็ไม่มีอะไรเที่ยว  ฉันเลยเสนอว่า  เราน่าจะไปน้ำตกกวางสี  หรือไม่ก็ตาดแซะ  เพื่อฆ่าเวลาเพราะไหนๆ ก็มาแล้ว  คนที่มาด้วยเห็นชอบ  เราจึงทำ research กับแม่ค้าแถวนั้นดูว่า  ที่ไหนสวยกว่ากัน  แม่ค้าทั้งหมดแนะนำน้ำตกตาดแซะ  เพราะช่วงนี้น้ำยังเยอะอยู่  และห่างจากตลาดพูสีไปไม่ไกลแค่ 29 กม. ในขณะที่น้ำตกกวางสีไกลกว่านั้นมาก  แถมถนนหนทางยังไม่ค่อยดีอีกด้วย


 


หลังจากปรึกษากันและเห็นดีเห็นงามตามที่แม่ค้าบอก  ก็มาสู่ขั้นตอนการเรียกรถรับจ้าง 4 ล้อ และต่อราคาให้อยู่ในเกณฑ์พอประมาณ  เราได้ราคาที่ 120,000 ขาไปตลาดพูสี - ตาดแซะ  ขากลับ ตาดแซะ – เฮือนพัก โดยเค้าจะจอดรอเราเล่นน้ำตกเสร็จแล้วตีรถกลับมาทีเดียว  ส่วนระยะเวลาในการเล่นนั้น  คนขับบอกว่า "นานแค่ไหน  สุดแล้วแต่ใจพี่"  ซึ้งสุดขั้วหัวใจ  รอไม่นานหรอกน้อง เดี๋ยวพี่กลับมา...


 


ลงจากรถรับจ้าง 4 ล้อ เดินลงเขาแล้วรอขึ้นเรือไปน้ำตก  ลำที่เรานั่งมีทั้งหมด 6 คน เรา 2 คน เป็นคนไทย  ส่วนอีก 4 คนเป็นคนลาว  วิว 2 ฝั่งของแม่น้ำคานสวยมาก  ฝั่งหนึ่งเป็นทิวเขาอุดมด้วยแมกไม้  อีกฝั่งมีชาวบ้านอาศัยอยู่  ถึงแม้แดดจะเปรี้ยงมากในตอนนั้น  เด็กๆ ก็ยังแก้ผ้าเล่นน้ำกันอย่างไม่อนาทรร้อนใจทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้านแถบนี้


 



 2 ฝั่ง "คาน"


 


กินเวลาไม่นาน  เรือก็จอดพาเราลงที่ตีนเขาเพื่อเดินขึ้นไปยังน้ำตกตาดแซะ  จัดการจ่ายค่าเที่ยวชมซึ่งคนไทยอย่างเราจ่ายแพงกว่าชาวลาวถึง 2 เท่า เสร็จสรรพแล้วจึงย่ำเท้าไปตามเสียง "ซู่ ซ่า" ของน้ำตกตาดแซะ


 


กระแสน้ำแรงและเร็วไหลจากโขดหินขั้นสูงลงสู่หินชั้นต่างๆ จนนอนนิ่งขังอยู่ชั้นล่างสุดของน้ำตก  ที่ดูคล้ายแอ่งน้ำขนาดใหญ่จุน้ำจากธรรมชาติสีเขียวใสจนเห็นสิ่งมีชีวิต (จิงโจ้น้ำ) กระโดดไปมาอยู่บนผิวน้ำ  เรื่องดีอีกเรื่องคือ  หินแต่ละชั้นนั้นไม่ลื่นสามารถปีนป่ายได้สบายไม่ต้องกลัวตก  แถมน้ำยังเย็นชื่นใจ  บอกตรงๆ ไม่เคยเห็นน้ำตกที่ไหนสวยและประทับใจเท่าตาดแซะมาก่อน


 


      


น้ำตกตาดแซะ  -  ของจริงสวยกว่านี้อีกค่ะ


 


1 ชั่วโมงต่อมา  เราอำลาตากแซะด้วยการนั่งเรือออกจากหุบเขามาขึ้นฝั่งแล้วต่อรถรับจ้างกลับเข้าใจกลางเมืองหลวงพระบาง  เพื่อเตรียมหาอาหารอร่อยๆ ริมแม่น้ำโขงกินประทังความหิวที่ติดตัวมาตั้งแต่ตอนกลางวัน


 


เราเลือกร้านแบบเดาสุ่ม  และนั่งลงที่โต๊ะอาหารริมฝั่งโขง  สั่งส้มตำเป็นอย่างแรก


"พี่ใส่เครื่องทุกอย่างรึเปล่า"  พนักงานเสิร์ฟเอ่ยถาม


"ใส่อะไรบ้าง"  ฉันรีบถามกลับเผื่อมีอะไรที่กินไม่ได้


"มีกะปิ"


"ไม่ใส่" 


"ปลาร้า"


"ไม่ใส่  มีอะไรอีก"


 "พี่ไม่ใส่กะปิ  ไม่ใส่ปลาร้าก็ไม่มีอะไรอีกแล้วหละ"  พนักงายคนเดิมเอ่ยหน้าซื่อ  ฉันอมยิ้มคิดในใจ


"จริงๆ พี่ก็อยากใส่  แต่ไอ้ของที่น้องบอกมาพี่ไม่สามารถกินได้จริงๆ อ่ะ"


 


อาหาร 3 อย่าง ในปริมาณที่มากพอดูถูกนำมาวางบนโต๊ะ  มีส้มตำเหมือนกรุงเทพฯ  ไก่ย่าง และลาบหมูซึ่งรสชาติไม่เหมือนที่เมืองไทยเพราะเครื่องที่ใช้ไม่เหมือนกัน (ของเค้าไม่ใส่ข้าวคั่ว  ไม่ใส่หอม  แต่ใส่ผักอย่างอื่นที่เราไม่เคยเห็นแทน) สำหรับบรรยากาศริมน้ำโขงจะดีและโรแมนติกเหมาะแก่การจิบเบียร์มากในช่วง 5 – 6 โมงเย็น  หลังจากนั้นความมืดก็จะเข้าครอบครอง  มืดชนิดที่เรียกว่า  มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหุบเขาฝั่งตรงข้ามที่อาศัยแสงไฟจากเรือหาปลาส่องมากระทบ


 


กินอิ่มจ่ายตังค์เสร็จ  เรามุ่งหน้าสู่ตลาดมืดเพื่อซื้อของฝาก  ที่ซื้อมามากที่สุดเห็นจะเป็นเสื้อยืดตัวละ 60 บาทกว่าๆ และกางเกงเลสีสวยที่ตอนแรกแม่ค้าใส่ชุดชาวเขาบอกราคา 50 บาท เราไม่ซื้อ  คิดในใจว่าแพงไป  เลยถามเค้าไปว่ากี่กีบ  แม่ค้าบอก 15.000 กีบ  เราตกลงโอเคโดยที่ไม่ได้หยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมากด  ปรากฏว่าซื้อมาที่ราคา 60 บาท (โดยประมาณ) จ่ายแพงกว่าตอนแรกที่เค้าคิดเป็นเงินไทยอีก  แถมซื้อมา 3 ตัวซะด้วย  แพงกว่าประมาณ 30 บาท ขำก็ขำ  อยากด่าตัวเองก็อยากด่าที่ต้องมาจ่ายแพงกว่า  ทั้งทีคนขายไม่ได้ร้องขอ...เฮ้อ



 



"ตุ๊กตาให้กำลังใจ" แม่ค้านั่งเย็บนั่งขายกันตรงนั้นเลยค่ะ


 


ซื้อนู่นซื้อนี่ + ขอถ่ายรูปแม่ค้าพ่อค้าเสร็จเรียบร้อย  เราแบกของพะรุงะรังกลับไปเก็บที่ห้องแล้วจับสามล้อไปที่ "ดาวฟ้า" เธคที่วัยรุ่นลาวบอกกับเราว่า  เป็นเธคยอดนิยม  เปิดเพลงมันส์สุดๆ และเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นลาวที่ส่วนใหญ่พกขามาเพื่อแดนซ์กระจายเท่านั้น!


 


ดูภายนอก "ดาวฟ้า" เหมือนบ้านเดี่ยว 2 ชั้น หลังใหญ่ที่ไม่น่าจะมีอะไรครึกครื้น  แต่เมื่อเข้าไปสัมผัส (แบบไม่เสียบัตรผ่านประตู) รู้สึกว่า  ดาวฟ้าคล้ายๆ กับคาเฟ่บ้านเราที่มีเวทีให้นักดนตรีเล่น  แต่ไม่มีตลก เพลงที่ร้องเป็นเพลงช้าสลับเพลงเร็ว ส่วนใหญ่เป็นเพลงไทยและมีเพลงฝรั่งปะปนมาบ้าง  มีฟลอร์ให้เต้นรำ  และเป็นเธคที่วัยรุ่นมารวมตัวกันค่อนข้างมาก  แต่งสวยแต่งหล่อกันเต็มที่  มีทั้งโกรกผมสีทอง  ดัดผม  และใส่กางเกงขาสั้นจู๋  ซึ่งเราจะไม่พบเห็นตามท้องถนนในตัวเมืองพลวงพระบางแน่ๆ (แอบคิดเหมือนกันว่า  เวลากลางวันวัยรุ่นพวกนี้หลบอยู่ที่ไหน  ตลอด 2 วันมานี่ไม่พบเห็นเลยแม้แต่คนเดียว)


 


ดื่มไปชมบรรยากาศไป  ความตื่นตาตื่นใจก็บังเกิดเมื่อเพลงลาวจังหวะดนตรีไม่ช้าไม่เร็วถูกเล่นขึ้น  ฟลอร์เต้นรำก็คลาคล่ำไปด้วยหนุ่มลาวสาวลาวที่ต่างคนต่างออกสเตปหมุนซ้ายหมุนขวาด้วยท่าทางที่เหมือนและพร้อมเพรียงกันเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคนที่เต้นไม่ได้ก็ต้อง fade ตัวออกจากฟลอร์อย่างเงียบๆ เป็นอย่างนี้ 2 เพลงติด!  ฉันกับคนที่ไปด้วยมองหน้ากันแล้วต่างคิดในใจว่า "เค้าเอาเวลาที่ไหนไปซ้อมกัน


_"


 


แล้วความสนุกสุดเหวี่ยงอย่างที่วัยรุ่นลาวการันตีไว้ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 23.00 น. คืบคลานเข้ามา  หน้าที่บนเวทีถูกผลัดเปลี่ยนมาให้กับดีเจหนุ่มที่คอยเปิดเพลงสนุกสุดเหวี่ยงทั้งเพลงลาว  เพลงฝรั่ง และเพลงไทยให้คนที่มาเที่ยวได้เต้นปลดปล่อยอารมณ์กันเต็มที่  บนฟลอร์คลาคล่ำไปด้วยวัยรุ่นแน่นจนไม่มีที่ยืน  ต่างคนต่างเต้นมือไม้โดนหัวโดนตัวคนข้างๆ ก็ไม่สนใจ  เอาความสนุกเป็นใหญ่ไว้ก่อน  แต่ที่เมื่อปรายสายตาไปเห็นทีไรพาลให้เต้นไม่ออกทุกทีก็คือ  รปภ. 4 นาย ที่ขึ้นไปยืนทำหน้าขมึงตึงบนเวทีสอดส่ายสายตาหาคนเมาที่อาจเป็นชนวนให้เกิดการทะเลาะวิวาท  ทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม  บอกตรงๆ ว่า เป็นการรักษาความปลอดภัยที่ทำให้บรรยากาศการมาเที่ยวเธคลาวครั้งนี้แปลกอย่างบอกไม่ถูก


 




ป้าย "ดาวฟ้า" สุดอลังการ



 



ไม่บอกไม่มีทางรู้แน่ๆ ว่า นี่คือ เธค...


 


 




สั่ง "ทอดมันลาว" ไป ได้เฟรนด์ฟรายด์มา...งงตึ๊บ!


 


24.00 น. ขึ้นรถ 3 ล้อกลับเฮือนพัก  เก็บของเตรียมออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า  โดยรถจากเอเจนซี่ที่ขายตั๋วให้จะมารับเราตอน 6 โมงเช้าไปส่งที่ท่ารถ  เพื่อนั่งรถวีไอพี 2 กลับเข้าเวียงจันทน์  ซึ่งจะไปถึงเวียงจันทน์ประมาณ 3 โมงกว่าๆ ทันนั่งรถโค้ชของบริษัทเดิมที่ออกตอน 5 โมง กลับกรุงเทพฯ


 


12.00 น. รถวีไอพีท่าทางไม่ค่อยดีจอดแวะให้เรากินข้าว  และก็เป็นการจอดที่ยาวนานเหลือเกินเพราะรถเสียต้องรอรถคันใหม่มาเปลี่ยน  ตอนนั้นฉันกับคนที่ไปด้วยเริ่มเกิดอาการกังวลใจว่า  เราจะไปถึงเวียงจันทน์ทันรถออกหรือเปล่าเนี่ย?  ประมาณ 15.45 น. ถามคนลาวที่นั่งข้างๆ ว่าอีกนานมั้ยจะถึงเวียงจันทน์  เค้าบอกอีก 70 โล 2 ชม.กว่าๆ เราแทบร้องไห้หาทางหนีทีไล่ไม่เจอ  ทำไงดี  ถ้าไม่ทันรถรอบ 5 โมงจะไปนอนที่ไหน  ตังค์ก็ใกล้หมดแล้วด้วย  และทางออกสุดท้ายก็อาจมาหยุดตรงที่  การนั่งรถข้ามสะพานมิตรภาพฯ แล้วนั่งรถต่อไปขนส่ง  จากนั้นหาตั๋วจากหนองคายมาหมอชิต  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีรึเปล่า  ตอนนั้นอารมณ์เสียสุดๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลง  คนข้างๆ ก็ได้แต่บ่นว่า  "เวลาไม่มีความหมายสำหรับคนลาวที่บ้านเมืองเค้าไม่ต้องรีบเร่งอะไรมากนัก" แล้วคนไทยอย่างเราล่ะ...เอาไงดี?


 


17.50 น.  เรากุลีกุจอลงจากรถวีไอพี 2 ตรงไปยังเอเจนซี่เผื่อรถจะยังไม่ออก  แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตั๋วที่นั่งเหลือ 3 ใบ เพียงพอสำหรับเรา 2 คน  เราหายรนและถามเจ้าหน้าที่ Book ตั๋วว่า  ทำไมรถยังไม่ออกได้ความว่า รอฝรั่งที่ไปเที่ยววังเวียงแล้วยังไม่กลับเข้ามา  เป็นอันว่า  เรามาถึง 2 คนแรก ว่างั้น? 


 


รถวนไปเวียนมารับคนนู้นทีคนนี้ที 2 ทุ่มกว่าๆ จึงจะได้ฤกษ์ทำเอกสารผ่านแดน (เวลาไม่มีความหมายสำหรับเอเจนซี่นี้ด้วย)  และมุ่งหน้ากลับเมืองไทยมาถึงถนนราชดำเนินประมาณ ตี 5 กว่าๆ ต้องบอกว่า  การเดินทางโดยรถโค้ชไทยเป็นการเดินทางในฝันสำหรับฉันจริงๆ ค่ะ


 


วันนี้ลาพักร้อนนอนปรับวิถีชีวิตให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง...อยากกลับไปที่หลวงพระบางอีกจัง  งั้นเจ้านายคะ...หนูขอลาพักร้อนล่วงหน้าไว้ก่อนเลยได้มั้ยคะ ",)


 




ป้ายบอกบ้านเลขที่ ที่หลวงพระบางค่ะ


 


 


 



ตู้ไปรษณีย์เก่าแก่  ขลังมากถ้าเห็นของจริง