Skip to main content

ลันตา...อุรักละโว้ย คนสองโลก

คอลัมน์/ชุมชน

คุณอยากรู้เรื่องของลุงผีคนนั้น ที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลแสนไกล มาก่อศัตรูอยู่แถวนี้ เธอหลิ่วตา ไม่ตอบคำถาม แต่บอกว่าคืนนี้จะพาคุณไปดูบางอย่างที่น้อยคนจะได้เห็น แม้แต่บางคนที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ ก็ใช่ว่าจะรับรู้


คุณจำยอมให้เธอเป็นผู้กำหนด โดยไม่ถามไถ่อะไรอีกต่อไป ปล่อยให้ความสงสัยกรุ่นๆ อยู่ในใจ กลายเป็นความทรมานที่หวานหอมจะดีกว่า แต่เธอก็หันมาปลอบประโลมคุณด้วยรอยยิ้มแล้วบอกว่า คำตอบรออยู่ที่โน่นอย่างแน่นอน
หลังอาหารเย็น เราจะไปเที่ยวกันต่อในดินแดนลี้ลับของเกาะนี้ ...เธอสัญญา

สะพานไม้แคบๆ ทอดข้ามลำคลองและแนวน้ำท่วมชายฝั่ง ทอดผ่านเข้าไปในดงโกงกางแม้ไม่ไกลนัก แต่ยามค่ำคืน มองไม่เห็นร่องไม้ ใจสั่นระทึก เธอบอกให้คุณเดินตามมาติดๆ ค่อยๆ คลำทางอาศัยแสงจันทร์กระจ่างฟ้า พอให้เคลื่อนกายเข้าไปถึงที่หมาย ชั่วไม่ถึงนกกลางคืนครางครวญได้ครบคราว
แสงจันทร์สาดจับหลังคาบ้าน หย่อมเล็กๆ ไม่เกินยี่สิบหลัง ที่เรียงรายริมชายฝั่ง มีทิวสนสูงบังคลื่นลม และได้อาศัยล่ามเรือลำเล็กๆ เอาไว้ด้วย
  
คุณรู้สึกราวกับทะลุมิติมายังอีกโลกหนึ่ง ที่ไม่มีอยู่จริง  ด้วยความสงบสงัด ปราศจากแสงไฟฟ้า ไม่มีเสียงจากเจ้าจอสี่เหลี่ยม  มีเพียงกองไฟหนึ่งกองที่ลุกโชนอยู่หน้าบ้าน ที่น่าจะเรียกว่าเพิงจึงจะสม ด้วยความเล็กและเรียบง่าย  พ่อแม่ลูกล้อมวงนั่งกินข้าวเงียบๆ ตะเกียงดวงน้อยส่องสว่างอยู่กลางวง มีเพียงสุนัขที่ออกมาต้อนรับด้วยเสียงเห่าขรม เจ้าของจุ๊ปากจึงยอมถอยทัพ ปล่อยให้คนแปลกหน้าแปลกกลิ่นเดินเข้าไปในชุมชน


ยิ่งสำรวจหัวใจของคุณยิ่งแฟบเล็กลง หวนเห็นภาพสำเริงสำราญราตรีของนักท่องเที่ยวอีกฟากหนึ่งของเกาะ


"มะ ป๊ะ นอนยังคะ" เธอส่งเสียงเรียก แสงตะเกียงน้ำมันก๊าดสลัวราง เห็นเงาคนยังนั่งอยู่ จึงพยักหน้าให้คุณเดินตามเข้าไป
"สบายดีมั้ยคะ" เธอถาม พลางทรุดนั่งบนพื้นไม้ท่อนที่ปูห่างๆ คำตอบที่ได้คือสบายดี แล้วเงียบลง เหมือนไร้เรื่องราวจะสนทนา หญิงชราผลักตะกร้าพลาสติกเล็กๆ มาทางคุณ ถามว่ากินหมากเป็นไหมด้วยภาษาถิ่น คุณยิ้มในความมืด เอ่ยขอบคุณ
"เรื่องนั้นเป็นไงบ้าง" เธอทำลายความเงียบ ชายเฒ่าถอนหายใจยาว มวนใบจากที่ริมฝีปากแดงวาบ กลิ่นที่ตามมาฉุนแรงจนต้องกลั้นหายใจ
"เขาพยายามจะให้พวกเราออกไปจากที่ดินบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด เมื่อสองสามวันก่อนก็เข้ามา" น้ำเสียงเนิบๆ คุณฟังออก
"แล้วจะเอายังไงกันคะ"
"ก็ไม่ทำอะไรทั้งนั้น อยู่กันต่อไปอย่างนี้แหละ ไม่มีที่จะไป ที่ฝังศพก็แทบจะไม่มีแล้ว"



เธอเล่าให้คุณฟังว่า ครั้งแรกที่เหยียบเกาะนี้ จากท่าเรือเฟอรี่ ก็เห็นป้ายเขียนไว้ว่า
"ศาลเจ้าโต๊ะบาหลิว" ทีแรกคิดว่าเป็นศาลเจ้าแบบคนจีน แต่พอเดินเข้ามาดูตามทางสะพานไม้ ที่เก่าผุกว่านี้ พบว่าในศาลนั้นมีรูปปั้นเล็กๆ เป็นผู้หญิงหนึ่งคน ผู้ชายสองคน




 


จึงได้รู้จักว่านี่คือ ...อุรักละโว้ย เจ้าของเกาะ ที่กลายมาเป็นผู้อาศัย  ผู้บุกรุก และวัตถุเพื่อการท่องเที่ยวในโลกปัจจุบัน



 


อีกครั้ง ได้มาร่วมงานลอยเรือปาจั๊ก ซึ่งจัดขึ้นปีละสองครั้ง  ครั้งแรกในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 และครั้งที่สอง 15 ค่ำ เดือน 11 แต่ละครั้งใช้เวลาสามวัน เริ่มตั้งแต่การไปตัดไม้ตีนเป็ดกับไม้ระกำบนภูเขา เพื่อนำมาต่อเรือ มีการแกะสลักลวดลายงดงาม  วันต่อมา ตอนบ่ายๆ จึงแห่เรือมาไว้ที่หน้าศาลโต๊ะบาหลิว แล้วเฉลิมฉลองกันจนมืดค่ำ รอจนใกล้รุ่งสาง กระแสน้ำเริ่มพัดออกจากฝั่งจึงนำเรือออกไปลอย จากนั้นเป็นพิธีการปักไม้กายูอาดัต  และสิ้นสุดพิธีด้วยการสาดน้ำมนต์ "เลฮบาเลฮ"




 


เธอได้เข้ามาร่วมแห่แหนเรือรอบศาลกับเขาด้วย ขบวนฟ้อนรำร่าเริง ดนตรีแบบชนเผ่าสนุกสนาน กลิ่นอายคล้ายอินเดีย การแห่จะเริ่มต้นมาจากหมู่บ้านอื่นๆ สองสามหมู่บ้านที่ไม่ไกลกันนัก ผ่านย่านตลาด ผ่านสายตานักท่องเที่ยว พวกเขาทุกคน สนุกสนานอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือประเพณีจริงแท้ หาใช่การเสแสร้งแสดงเพื่อผลประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวแต่อย่างใดไม่ คนนอกแบบเธอที่เข้ามาร่วมขบวนได้รับทั้งรอยยิ้มและคำทักทายตลอดทาง




 


ความคาดหวังให้เรือปาจั๊ก ลอยออกทะเลไปไกลโพ้น ไปสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้า ณ ยอดเขาฆูณุงจไร เมืองไทรบุรี เพื่อนำเอาโชคร้าย และเครื่องสักการบูชาไปที่นั่น ...พวกเขาจึงมีโลกอีกใบที่ยิ่งใหญ่กว่าโลกใบนี้มากมายนัก


"ทุกวันนี้ ชีวิตของพวกเขาเหมือนยืนอยู่บนกระดานหก ในข้างที่เบาหวิว ถูกดีดออกไปจากกระดานเมื่อไหร่ก็ได้โดยมีฝ่ายตรงข้ามคือคนอย่างลุงผี"


"และที่สำคัญ ใต้กระดานแผ่นนั้น มีอำนาจรัฐและนโยบายการท่องเที่ยวแบบบริโภคนิยม เป็นแท่นรอง"