Queer Theory โดย อ.ปีเตอร์ แจ็คสัน (1)
คอลัมน์/ชุมชน
อาจารย์ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ กล่าวหลังอาจารย์ปีเตอร์บรรยายจบในงานเสวนาวันที่ 5 มกราคม 2550 ว่าเลค เชอร์ของอาจารย์ปีเตอร์ เป็นเลคเชอร์เรื่อง Queer Theory ที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี ที่อาจารย์เคยได้ยินมาในเมืองไทย
ในที่นี้จึงขอสรุปเลคเชอร์นี้ สำหรับคนที่พลาดโอกาสไปฟังอาจารย์ปีเตอร์ในวันนั้น ชื่องานเสวนาเต็ม ๆ มีว่า "แนวความคิดหลักใน Queer Theory และประเด็นที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย" งานนี้กลุ่มอัญจารีจัดร่วมกับโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ในเวลาสั้น ๆ อาจารย์ปีเตอร์ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของ Queer Theory, อาจารย์ 3 ท่านที่มีอิทธิพลต่อทฤษฎีนี้และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย
ที่มาที่ไป
Queer Theory เป็นแนวคิดที่เพิ่งเริ่มเมื่อ 10-15 ปีมานี้เองที่อเมริกา ก่อนหน้านั้นมีการศึกษาวิเคราะห์เรื่องเกย์ เลสเบี้ยน ไบ และทรานสเจนเดอร์มาอยู่แล้ว ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นคลื่นลูกแรก คลื่นลูกนี้เริ่มสักประมาณทศวรรษที่ 70 แนวคิดหลักคือ ถือว่าอัตลักษณ์ (Identity) เป็นสิ่งที่ตายตัวตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปลง (Essentialism) เป้าหมายการวิจัยคือค้นหาหลักฐานที่ถูกปกปิดอยู่ทั้งหลาย มาสนับสนุนว่าความเป็นเกย์นั้นมีมาตลอดประวัติศาสตร์ เช่น มีเกย์ในยุคกรีก ยุคโรมัน
แต่วิธีการเช่นนี้ก็ใช้ไม่ค่อยได้นักในบางสาขาวิชา เช่น ในมานุษยวิทยา ตัวอย่างหนึ่งก็เช่น ในงานวิจัยของ Gilbert Herdt ซึ่งทำการศึกษาชนเผ่าแซมเบีย บนเกาะนิวกีนี เมื่อ 30 ปี ที่แล้ว ในชนเผ่านี้เด็กผู้ชายทุกคนก่อนที่จะเป็นผู้ชายเต็มตัวได้ ต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายและกินน้ำอสุจิของผู้ชายก่อนที่จะเป็นผู้ชายแท้ ๆ ดังนั้นผู้ชายทุกคนจึงมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ แต่ผู้ชายเผ่านี้ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นเกย์ อัตลักษณ์ของพวกเขานั้นเป็นสามี เป็นนักล่า แต่ไม่ได้มีอัตลักษณ์เป็นเกย์
ดังนั้นแล้วความคิดที่ว่าเกย์เป็นอัตลักษณ์ที่มีอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ ในทุกสังคมทั่วโลก จึงไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเป็นจริง เลยมีการปรับปรุงแนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ แนวคิดใหม่ถือว่าอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนตามเวลา แล้วแต่สังคม วัฒนธรรมภายนอก หรือพูดได้ว่าอัตลักษณ์เป็นสิ่งประกอบสร้าง (Constructionism) Queer Theory ซึ่งถือว่าเป็นคลื่นลูกที่ 2 ได้ยึดเอาแนวคิดนี้เป็นแนวคิดหลัก ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ขัดแย้งกับแนวคิดของคลื่นลูกแรก
อีกสิ่งหนึ่งที่คลื่นลูกที่ 2 ปรับปรุงจากคลื่นลูกแรกก็คือ คนรุ่นใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 90 รู้สึกว่า Gay/Lesbian Studies ของคลื่นแรก เน้นที่กลุ่มเฉพาะคือ คนขาว, ชนชั้นกลาง, อเมริกัน, เกย์ผู้ชาย โดยเฉพาะในนิวยอร์ค ซานฟรานซิสโก และมองข้ามกลุ่มคนอื่นๆ คลื่นลูกที่สองจึงมีการปรับปรุงให้รวมคนกลุ่มอื่น ๆ มากขึ้น เช่น คนผิวสี, คนชั้นกรรมาชีพ, คนที่ไม่ใช่อเมริกัน, และหญิงรักหญิง
การวิจัยของคลื่นลูกที่สองจึงเน้นว่า อัตลักษณ์เป็นสิ่งประกอบสร้าง ไม่ตายตัว และขยายขอบเขตการวิจัยให้ครอบคลุมคนที่ไม่ใช่คนขาวเท่านั้น คนรุ่นนี้เห็นว่า Gay/Lesbian Studies เชยแล้ว เป็นความคิดของคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ก็หาอัตลักษณ์ใหม่ๆ โดยเลือกใช้คำว่า "Queer"
"Queer" เป็นคำอังกฤษโบราณ ซึ่งแปลว่า แปลก พิลึก เพี้ยน ต้นศตวรรษที่ 20 ที่อเมริกาและอังกฤษใช้คำนี้เรียกคนรักเพศเดียวกันและคนที่แต่งตัวข้ามเพศ นัยของคำสื่อถึงการดูถูก เป็นคำที่แรง คนรุ่นใหม่เลือกที่จะใช้คำที่ดูถูกอย่างแรงนี้มาเป็นสัญลักษณ์
ถ้าจะแปล Queer Theory เป็นไทยให้ได้ความรู้สึกเดียวกัน อาจจะใช้คำว่า "ลักเพศวิทยา" หรือ "วิปริตวิทยา" หรือ "วิตถารศึกษา"
อาจารย์ที่เป็นคลื่นลูกแรกฟังคำนี้แล้วก็รับไม่ได้ แต่คนรุ่นใหม่บอกว่า นี่เป็นคำที่แสดงความคิดแนวใหม่ เอาความหมายแง่ลบมาทำเป็นบวก เป็นยุทธศาสตร์ทางภาษา
อาจารย์ 3 ท่านที่มีอิทธิพลต่อทฤษฎีนี้
Queer Theory ไม่ได้มีทฤษฎีเดียว ซึ่งน่าจะคล้าย ๆ กับความคิดหลังโครงสร้างนิยม คือเป็นเหมือน "หีบ" ที่ใส่วิธีวิทยาและแนวคิดหลาย ๆ อย่างเอาไว้ ให้เราหยิบเอามาใช้ แนวคิดต่าง ๆ ที่อยู่ในนี้เป็นทางเดียวกันบ้าง บางทีก็ขัดแย้งกันบ้าง ในที่นี้จึงแนะนำอาจารย์ 3 ท่านที่มีอิทธิพลยิ่งต่อ Queer Theory จาก 3 สาขาวิทยาที่แตกต่างกัน จะได้เห็นการนำไปใช้ที่หลากหลาย อาจารย์ทั้ง 3 คือ
1 Eve Kosofsky-Sedgwick
หนังสือสำคัญของอาจารย์ท่านแรกนี้คือ "Epistemology of the Closet" ซึ่งฟังยากและแปลกมาก เพราะ epistemology เป็นคำปรัชญา แต่ closet เป็นคำชาวบ้าน หมายถึงเกย์เลสเบี้ยนที่ไม่เปิดตัว แปลเป็นไทยจะคล้าย ๆ คำว่า "แอบจิต" ถ้าจะแปลชื่อหนังสือนี้เป็นไทยให้ได้ความรู้สึกเดียวกับภาษาอังกฤษ อาจแปลได้ว่า "ญาณวิทยาของแอบจิต"
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของ Queer Studies ที่อาจารย์ชอบเล่นคำตลอดเวลา บางครั้งทำให้หนังสืออ่านยากมาก เพราะไม่รู้ว่าคนเขียนกำลังพูดจริงหรือพูดเล่น หนังสือของอาจารย์ทั้ง 3 ท่านนี้อ่านยากมาก แม้จะเป็นเจ้าของภาษาอ่านก็ตาม แต่แนวคิดหลักไม่ยากเท่าไร
Sedgwick เป็นอาจารย์ด้านวรรณคดี สนใจ Canon ของวรรณคดีอังกฤษ ซึ่งก็คือวรรณคดีหลัก ๆ ในวัฒนธรรม เช่น ของเช็คสเปียร์ หรือ ดิคเคน Sedgwick สนใจว่ามีความคิดใดที่สังคมสมัยใหม่ไม่ยอมรับแฝงอยู่ในข้อความหรือไม่ และความคิดเหล่านี้เป็นเรื่องที่สังคมไม่อยากพูดถึง เช่น เชคสเปียร์พูดถึงเรื่องโสเภณีและเรื่องเพศอย่างเปิดเผย เพราะว่าในสมัยนั้นอาจเห็นเป็นเรื่องเปิดเผย แต่คนสมัยนี้ไม่กล้าพูด
Sedgwick สนใจเอาความคิดแอบแฝงเช่นนี้มาเปิดเผย โดยเฉพาะเรื่องคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งสมัยนี้เป็นสิ่งที่น่าอาย แต่เขาขุดออกมาเปิดเผย คำว่า Epistemology นี้อาจแปลง่าย ๆ ว่าขุด คือขุดสิ่งที่ถูกปกปิดออกมาเปิดเผย
อีกแนวคิดหนึ่งที่ Sedgwick ใช้คือ "แนวคิดการรื้อสร้าง" (Deconstructionism) แนวคิดนี้บอกว่าในวาทกรรมกระแสหลักมีแนวคิดที่เป็นคู่ตรงข้าม (Binary Pairs) อยู่ เช่น ตะวันออก-ตะวันตก ขาว-ดำ คนรักต่างเพศ-คนรักเพศเดียวกัน ซึ่งความเป็นคนรักต่างเพศนั้นในกระแสหลักเป็นบวก มีอำนาจ ส่วนคนรักเพศเดียวกันต้องเป็นลบและอยู่ใต้ดิน
Sedgwick ใช้แนวคิดคู่เช่นนี้มาวิเคราะห์วรรณกรรมหลักต่าง ๆ ถ้าเทียบกับในสังคมไทย เราอาจเอาเรื่องสี่แผ่นดิน หรือขุนช้างขุนแผน มาหาแนวคิดเรื่องกะเทย หรือเรื่องคนรักเพศเดียวกันในนั้น การทำเช่นนี้เรียกว่า Queering the Canon โดยคำว่า Queer ในที่นี้เป็นคำกริยา แปลว่า หาหลักฐาน (เช่น เรื่องคนรักเพศเดียวกัน) ที่ถูกปกปิดเอาไว้จากกระแสหลัก
2 Judith Butler
งานของ Butler นั้นอ่านยากมาก จนลูกศิษย์ของเธอให้รางวัลแซวเธอว่าเป็น "ผู้เขียนบทความที่อ่านไม่ออกมากที่สุดในโลก" Butler นั้นเป็นอาจารย์ด้านปรัชญาและสนใจสตรีนิยมสมัยใหม่ เธอสนใจอัตลักษณ์เป็นหลัก งานสำคัญของอาจารย์ท่านนี้คือ "Bodies That Matter" ซึ่งชื่อหนังสือก็เป็นการเล่นคำเช่นกัน แปลตรง ๆ ได้ว่า "ร่างกายที่สำคัญ" แต่ matter ยังสามารถแปลว่า "สสาร" ก็ได้ นี่มาจากแนวคิดหลักของหนังสือว่า อัตลักษณ์ไม่ได้อยู่ภายในตลอดเวลา แต่เป็นการประกอบสร้างจากสิ่งภายนอกที่อยู่รอบตัว มาจากสสารหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
ความคิดสำคัญเรื่องหนึ่งของอาจารย์ท่านนี้คือ Performativity คำนี้มาจากคำว่า perform แปลว่าการกระทำ performativity หมายถึงอัตลักษณ์ประกอบสร้างจากการกระทำของเรา ซึ่งการกระทำไม่ได้ลอยอยู่เฉย ๆ แต่ต้องอยู่ในกรอบวัฒนธรรมที่เราอยู่ตลอด และการกระทำก็จะค่อย ๆ สร้างอัตลักษณ์ของเรา ยกตัวอย่างเช่น คนไทยไหว้ ถ้า อาจารย์ Butler มาเมืองไทย อาจจะเสนอว่า ความรู้สึกความเป็นคนไทยไม่ได้มาจากการแสดงออกของวิญญาณคนไทยเท่านั้น แต่เด็กไทยถูกสอนมาให้ทำ คือถูกสอนว่าคนระดับต่ำต้องไหว้คนระดับสูงกว่า และต้องทำตลอดมา นี่แหละจะสร้างความรู้สึกของการเป็นคนไทยไปด้วย
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ภาษาไทยมีสรรพนามเยอะมาก ซึ่งต้องรู้จักความแตกต่างระหว่างคนที่พูดด้วย กว่าที่จะเอ่ยถึงสรรพนามได้ คนไทยที่ไม่รู้จักกัน เจอกันครั้งแรกต้องพยายามดูว่าใครพี่ใครน้อง บางทีถามตรง ๆ ไม่ได้ก็ต้องอ้อมไปเรื่องอื่น ๆ เช่น ถามว่าเกิดวันไหน นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นโครงสร้างวัฒนธรรมไทยที่อยู่ในภาษาด้วย ในกรณีนี้อาจารย์
อาจารย์ Butler เอาความคิดเช่นนี้มาวิเคราะห์ gender ของเรา อาจารย์บอกว่า เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายต่างก็ถูกสอนมาจากทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนว่า เด็กชายที่ดีต้องทำอย่างนั้น เด็กหญิงที่ดีต้องทำอย่างนี้ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ครู จะสอนเด็กชายและเด็กหญิงในวิถีที่แตกต่าง จนทำให้เด็กชายและเด็กหญิงมีความประพฤติที่แตกต่างกัน และเข้ากรอบของความเป็นชายแท้หญิงแท้ อัตลักษณ์ชายและหญิง จึงไม่ใช่การแสดงออกของวิญญาณที่เป็นมาตั้งแต่เกิด แต่สะท้อนถึงสิ่งที่ได้รับการสอนตลอดมา
ดังนั้น gender จึงเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ได้เป็นสิ่งที่เราแสดงออก เรามีความรู้สึกว่าเราเป็นชายเป็นหญิง แต่ความรู้สึกนั้นมันเกิดมาจากที่ไหน ความคิดเก่าจะบอกว่า มันอยู่ในเราตั้งแต่เกิดมา หรือเป็นวิญญาณ ถ้าเป็นคริสเตียนจะบอกว่าพระเจ้าสร้าง แต่
3 Michel Foucault
อาจารย์ท่านสุดท้ายนี้อยู่อีกแขนงวิทยาคือ ด้านประวัติศาสตร์ จริง ๆ เขาจบปรัชญาแต่เป็นปรัชญาด้านประวัติศาสตร์ คนที่นำความคิดของอาจารย์ Foucault มาใช้ส่วนใหญ่จึงเป็นนักประวัติศาสตร์ อย่างที่กล่าวไปตอนแรกว่า Queer Theory ไม่ได้เป็นสิ่งเดียว แต่มีลักษณะเป็นเหมือนหีบความรู้ ดังนั้น คนที่สนใจวิเคราะห์วรรณคดี อาจจะใช้ความคิดของอาจารย์ Sedgwick คนที่สนใจปรัชญาอาจใช้แนวคิดอาจารย์
ความคิดของอาจารย์ Foucault นี้คล้าย ๆ อีก 2 ท่าน แต่มีความคิดเรื่องอำนาจ และสนใจเรื่องที่มาของอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศวิถี (Sexuality) มากที่สุด
งานของอาจารย์ Foucault จริง ๆ มีหลายเรื่อง แต่เรื่องที่เกี่ยวกับเพศภาวะนั้น งานที่เป็นงานหลักคือ "The History of Sexuality" หรือ ประวัติศาสตร์แห่งเพศวิถี ซึ่งฟังแล้วก็ง่าย ไม่ยากเท่าไร แต่ที่จริงแล้วคำนี้มีความหมายแฝงอยู่ด้วย เพราะว่าไอเดียหลักของหนังสือเล่มนี้คือ เพศวิถีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เพศวิถีที่คนเน้นว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตนั้นมีประวัติศาสตร์ มีที่มา และเมื่อมีที่มาก็อาจจะมีที่ไปด้วย สักวันหนึ่งอาจจะหายไปได้
อาจารย์ Foucault สนใจหาที่มาของเพศวิถี เขาบอกว่าเรื่องเพศวิถีไม่ว่าจะเป็นของคนรักต่างเพศหรือรักเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นไอเดียพื้นฐานของคนในสังคมสมัยนี้ และเราคุ้นเคยกับมันเหมือนปลาในน้ำ เราไม่ต้องคิดกับมันเท่าไร แต่เขาพบว่าในประวัติศาสตร์ ไอเดียแบบนี้เมื่อสัก 200-300 ปีก่อนไม่สำคัญเท่าไร มีสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า เช่น คุณแต่งงานหรือยัง มีอาชีพอะไร คนเรานั้นมีพฤติกรรมเรื่องเพศตลอดมา แต่ไม่สำคัญต่ออัตลักษณ์ของคนสมัยก่อนเท่าไรเมื่อเทียบกับในสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งรักต่างเพศหรือรักเพศเดียวกัน
อาจารย์ Foucault จึงถามว่า ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมเพศสัมพันธ์จึงสำคัญสำหรับเราอย่างมากในสมัยนี้ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงที่ทำให้เรื่องนี้สำคัญ Foucault เป็นนักประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ส่วนใหญ่จึงใช้หลักฐานของฝรั่งเศสในการศึกษา เขาเสนอว่า เมื่อระบอบอุตสาหกรรม และทุนนิยมเข้ามามีอิทธิพล เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไปด้วย เมื่อก่อนคนเป็นชาวนาชาวไร่ชีวิตจะเป็นคนละรูปแบบกับคนที่ต้องทำงานในโรงงาน และระบบอำนาจของสังคมเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ การเรียน การทำงาน กฎหมาย โครงสร้างของสังคมหลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนไป
ระบอบใหม่ที่เข้ามานี้เน้นตรงที่ร่างกายและพฤติกรรมทางเพศของคนมากขึ้น และสิ่งแวดล้อมแบบใหม่จะเน้นให้เพศเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์ไปด้วย ซึ่งไอเดียของ Foucault นี้ก็คล้าย ๆ กับของ