Skip to main content

ความทรงจำในแผ่นดินเดิม

คอลัมน์/ชุมชน

ขณะวาระที่เรากำลังดำเนิน ดำรงอยู่ในวิถีนั้น ผ่านไป ผ่านไป  สภาวะเคลื่อนผ่าน พานพบ เรียนรู้ ตามเหมาะตามควรแก่กาล  นั่นแล้ว  ว่ากันว่าหากกิจกรรมในกาล ในวาระนั้นๆ เป็นกิจกรรมพิเศษ  มันก็อาจจะมีเรื่องราวที่พิเศษแตกต่างออกไป...  นั่นก็ดังเรื่องเล่า เรื่องราวต่อไปนี้....


 


เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2548  ชวด สุดสะแนน ขับรถมาส่งผมที่บ้านท่าเกวียน ตำบลหนองจ๊อม สันทราย เชียงใหม่  นี่คือที่นา ของกวีผู้เฒ่า แสงดาว ศรัทธามั่น  ที่ๆ พวกเราเตรียมการ พูดคุยนัดหมายกันมาเดือนเศษๆ ว่า จะสร้างบ้านดิน ในผืนดินนี้ เพื่อให้ผู้เฒ่าได้ใช้เป็นที่พัก และได้นั่งทำงานเขียนหนังสือ ในบรรยากาศที่สงบงาม  ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ผมผละกวีผู้เฒ่าจะมาพักค้างที่นี่ เพื่อลงมือสร้างบ้านดินนับจากนี้  ทุกอย่างตระเตรียมเกือบเสร็จแล้ว หญ้าถูกถางจนโล่งเพื่อใช้เป็นที่ตากดิน และพื้นที่สำหรับการทำงาน และที่สำหรับปลูกบ้าน  ด้วยว่าอีกสองวันเท่านั้น คือวันที่ 17 ธันวาคม เป็นวันนัดวันแรกสำหรับการลงแขกสร้างบ้าน  ที่ในเวลาต่อมา อ้ายไพฑูรย์ พรหมวิจิตร ได้ตั้งชื่อบ้านนี้ไว้สองชื่อ คือ บ้านดินรักดาว  และบ้านดาวรักดิน......  


 



 


นี่มักเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในทรงจำผมแนบแน่น  นอกเหนือเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 40 วันต่อจากนั้น...  ด้วยเรื่องราวหลายเรื่องหลายตอน มีหลายท่านเขียนไว้ในหลายที่หลายแห่งแล้ว  อ้ายไพฑูรย์ พรหมวิจิตร เขียนเรื่องบ้านดินรักดาว ใน "พลเมืองเหนือ" ไปหลายตอน  เอื้อยแพร จารุ ก็เขียนเล่าไปบ้างในประชาไทนี้ รวมถึงเจ้าของบ้าน กวีผู้เฒ่า แสงดาว ศรัทธามั่นก็เขียนไปบ้าง และต่างก็เล่าเรื่องราวที่งดงาม


 



 


ทั้งหมดก็ผ่านพ้นไป  หลายคนได้กลับมาเยือนในต่างวาระ  และผมก็ได้กลับมา  และมาคราวนี้ก็มิใช่เพียงแวะเวียน  แต่มาอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายวัน  มาในวาระที่บ้านมีอายุครบขวบปี  ผ่านร้อน ผ่านฝน และได้กลับมาถึงฤดูหนาวอีกครั้งแล้ว  บ้านต่างออกไปจากเมื่อแรกเสร็จบ้าง  หญ้าตรงลานที่เราเคยกางเต๊นท์นอนขึ้นรกปกคลุมดิน  ในบ้านถูกวางกระบะเตาไฟเอาไว้ สามารถก่อไฟหุงหาอาหารในบ้านได้  ผนังของบ้านด้านนอกบางส่วน สีหลุดกร่อนออกไป ด้วยปะทะกับสายฝนตลอดฤดูฝนที่ผ่านมา 


 


แน่นอนว่าบางอย่างต่างไป บางอย่างก็ยังคงเดิม  ทุ่งนาหลังเก็บเกี่ยว กลิ่นหอมของฟางข้าวยังไม่จางหาย  นกกระยางบินผ่านฟ้ายามพลบ  แสงเทียนวับแวมยามค่ำคืน  สรรพเสียงของทุ่งยามราตรียังคงอยู่    บรรยากาศเช่นนี้เอง กับการอยู่เพียงลำพัง ภาพเก่าๆ ของปีที่ผ่านมาค่อยผุดพรายขึ้นมาทีละนิดทีละน้อย ร้อยเรียงกันเป็นเรื่องราวที่ติดแน่นอยุ่ในความทรงจำ  วาระนั้น 40 วัน จากพื้นดินว่างเปล่าก่อเกิดเป็นบ้านดิน  บ้านที่มาจากแรงกายแรงใจของเพื่อน พี่น้อง  ทุกคนที่มา ล้วนเทใจให้กับบ้าน และเจ้าของบ้าน  ชวด สุดสะแนนบอกผมว่า เป็นเกียรติ ที่ได้ร่วมสร้างบ้านหลังนี้  ผมว่าหลายคนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน  ผู้คนมากมายแวะเวียนเข้ามา เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในวาระนั้น  งดงามยิ่งนัก


 



 


ในวันเวลาที่ผ่านพ้นและทุกคนคงได้รู้สึกถึงการมีส่วนอันสำคัญที่ทำให้เกิดบ้านหลังนี้  และบ้านก็งดงามสมใจของพวกเรา  บ้านบนทุ่งนา ที่อ้ายไพฑูรย์ บอกว่า เป็นทุ่งนาผืนสุดท้ายที่อยู่ใกล้เมืองที่สุด  และวันนี้ทุ่งนี้ก็ยังงดงาม  หากว่า ต่อไป วันเวลาจะผ่านไป  ตัวบ้านจะเปลี่ยนไป ทุ่งนาจะเป็นไปบรรยากาศรอบข้างจะเปลี่ยนไป  นั่นหมายถึงความงามทั้งหลายภายนอกนั้นแปรเปลี่ยนไป มากน้อย ช้าเร็วก็สุดแท้  แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงทน คือความงามแห่งมิตรภาพ เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ได้ร่วมมือกันสร้างมันขึ้นมา 


 



 


ผมคิดว่าหากพวกเราได้แวะเวียนกลับมาแต่ละครั้ง หากมีเวลานิ่งๆ ได้สัมผัสบรรยากาศจริงแท้ หลายคนคงได้เห็นภาพตัวเอง และคนอื่นๆ ในช่วงเวลานั้น หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม ด้วยความสุข  และอย่างที่ว่า สรรพสิ่งภายนอกอาจจะเปลี่ยนไป  แต่ความงดงามภายในทรงจำนั้น มันจะแนบแน่นไปอีกนานนับนาน