Skip to main content

ในการดำรงอยู่ของ "หญ้าแพรก"

คอลัมน์/ชุมชน

เราเริ่มต้นปี 2550 กันด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ดีเอาเสียเลยนะครับ  นับตั้งแต่ตลาดหุ้นร่วงร้อยแปดจุดเมื่อก่อนสิ้นปี จนมาถึงเสียงระเบิดในกรุงเทพฯ ในวันสิ้นปี ความสุขสนุกสนานซึ่งประชาชนทั่วไปต่างหวังที่จะได้รับก็ต้องพลอยลดน้อยถอยลง บางครอบครัวที่สมาชิกต้องกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ คงต้องจดจำเหตุการณ์ขึ้นปีใหม่ 2550 นี้ไปอีกนาน


 


ขอแสดงความเสียใจแก่ผู้สูญเสียทุกท่านด้วยครับ


 


ดูเหมือนว่า สถานการณ์บ้านเมืองทุกวันนี้มีแต่ความร้อนระอุ (ทั้งที่อากาศทางเหนือหนาวจนอุณหภูมิหลายแห่งเหลือเลขตัวเดียว) บางที ผมก็อยากจะตั้งคำถามหรือสันนิษฐานเรื่องที่เกิดขึ้นจากมุมมองของประชาชนคนธรรมดา ที่ต้องเป็นฝ่าย "รับผล"แห่งการกระทำของผู้มีอำนาจและเห็นแก่ตัวเหล่านั้น ไม่ว่าใครจะทำก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ผลแห่งการกระทำที่ทำให้สังคมไม่สงบ และประชาชนต้องรับผลกระทบแห่งความเห็นแก่ตัวนั้น


 


นี่อาจเป็นเป้าหมายของผู้กระทำ เพื่อให้สภาพแห่งความไม่สงบนี้ดำรงอยู่ต่อไป เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง(ไม่ว่าจะทำลายคู่ต่อสู้หรือสืบทอดอำนาจต่อไป) แต่ภายใต้อุณหภูมิบ้านเมืองที่มันไม่ปกติอยู่แล้วอย่างนี้ มันก็ไม่ต่างจากโยนฟืนท่อนใหญ่เข้าไปในกองเพลิง มีแต่จะทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น เรื่องราวบานปลายออกไป ความสูญเสียขยายวงกว้าง แล้วสุดท้าย ก็อาจจะยากแก่การควบคุมเพลิงได้อีกต่อไป


 


ถ้าหลงอยู่ในวังวนความคิดที่ว่า "เอ็งเอากำลังเข้ายึดอำนาจจากข้าได้ ข้าก็ใช้ความรุนแรงตอบโต้เอ็งได้" แม้ว่าคุณจะไม่ใช่ แต่คุณก็ไม่ต่างจาก "โจรใต้" เท่าไรหรอกครับ สาดความรุนแรงเข้าใส่กัน ความเสียหายก็คือบ้านเมืองและประชาชน ไม่มีใครอยากจะเห็นเหตุการณ์แบบ 14 ตุลา หรือ พฤษภาทมิฬ อีกครั้งแน่ๆ นอกเสียจากผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง


 


ลำพังแค่ความบาดเจ็บทางเศรษฐกิจจากปลายปีที่แล้วก็เอาการอยู่ เพื่อนฝูงผมหลายคนที่ทำการลงทุนอยู่ในตลาดหุ้น เป็นผู้ค้ารายย่อยที่ ย่อย จริงๆ คือตั้งแต่มีมูลค่าหุ้นกันคนละกี่หมื่น กว่าจะลงทุนจนทำกำไรได้จนเกินแสนก็หลายปี แต่ละปีอาจจะได้กำไรสักสองสามหมื่น พอได้เก็บไว้ทำทุนหรือวางโครงการในอนาคตบ้าง


 


แต่พอโดนนโยบาย "ปกป้องค่าเงินบาท" เข้าไป ก็โดนกันไปคนละหลายหมื่น ที่วางแผนจะไปเที่ยวปีใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นซื้อน้ำใบบัวบกมานั่งซดที่บ้านแทน


 


ใช้เวลาอีกเท่าไรก็ไม่รู้ กว่าสภาพปกติในตลาดหุ้นจะคืนมา ยิ่งมาโดนสองเด้งจากสภาพสังคมที่ปั่นป่วนอย่างนี้ด้วยแล้ว ได้แต่ส่ายหน้ากันเท่านั้นละครับ


 


จะว่าไป ก็น่าเห็นใจ ครม.ขิงแก่ ทั้งหลายไม่น้อย เพราะต้องมาดูแลบริหารบ้านเมืองในสภาวะที่ไม่ปกติสักเท่าไร แค่เอาให้รอดในช่วงหนึ่งปีนี้อาจไม่ยากมาก แต่เอาให้รอดภาวะ "คลื่นใต้น้ำ" ที่กลุ่มอำนาจเก่าปล่อยมาแต่ละวันๆ นี่คงจะลำบากหน่อย ยิ่งเล่นเกมแรงเท่าไร ความหนักแน่นยิ่งต้องมีมากเท่านั้น หากท่านตั้งใจจะบริหารบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยจริง ก็ควรจะเดินเกม "สมานฉันท์" ให้ถึงที่สุด ถ้าตบะแตกเอาความรุนแรงเข้าจัดการความรุนแรงเมื่อไร ความชอบธรรมทั้งหลาย (ที่ยังเหลืออยู่) ก็มีสิทธิ์พังครืนได้ทันที


 


อีกเรื่องที่กลายเป็นเรื่องโจษขานกันทั่วบ้านทั่วเมือง คือเรื่องของ "ดวงเมือง"ปีนี้ ที่หลายๆ นักพยากรณ์ท่านว่า จะหนักหนาสาหัสทั้งภัยธรรมชาติและภัยที่สังคมมนุษย์สร้างขึ้นเอง อ่านแล้วก็น่ากลัวนะครับ ถึงแม้จะรู้ว่า มันอาจจะไม่จริงทั้งหมด แต่แค่จริงบ้างข้อก็คงไม่ดีแล้วล่ะ


 


ในสถานการณ์อย่างนี้ผมคิดว่า ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาทน่าจะดีที่สุด ใช้ให้น้อยเก็บให้มาก ลดความสุขจากวัตถุลงบ้าง หันไปหาความสุขจากสิ่งรอบๆ ตัว และติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้มากขึ้นสักหน่อยน่าจะดีกว่า


 


เพื่อนบางคนที่อยู่กรุงเทพฯ ปรารภกับผมว่า ผมโชคดีที่ย้ายไปอยู่ทางเหนือก่อน เลยไม่ต้องมาทนอยู่ในศูนย์กลางแห่งความวุ่นวาย ผมก็ได้แต่ยิ้ม คิดว่าโชคดีกว่าเขานิดหน่อยเท่านั้น เพราะจริงๆ ก็ยังต้องเสียวกับ "แผ่นดินไหว" ซึ่งพักหลังๆ ชักจะถี่เหลือเกิน ซึ่งถ้าไม่หนักหนาจริงๆ ก็คงพอทนได้ แต่ถ้าถึงขนาดแผ่นดินแยก ก็คงจะไม่ได้ดีกว่าสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ ซักเท่าไรหรอกครับ


 


สิ่งแวดล้อมก็ป่วย ผู้มีอำนาจก็จ้องจะปั่นป่วนสังคม หรือว่าปีนี้จะเป็นปี "หมูป่าบ้าคลั่ง" หรือ "หมูไฟ"มากกว่าปี "หมูทอง" อย่างเขาว่าซะจริงละมัง แม้ว่าเนื้อหมูจะเหลือแค่ 2 กิโลร้อย แต่เรื่องในบ้านเมืองเราตอนนี้มันไม่ "หมู" เหมือนเมื่อตอนยึดอำนาจเมื่อเดือนกันยายนซะแล้วสิ


 


ในสภาวะของความไม่แน่ไม่นอนอย่างนี้ ชีวิตผมเองก็เข้าสู่วงจรของการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ด้วยปัจจัยรายล้อมและความจำเป็นในชีวิตนั่นละครับ ทำให้ต้องหวนกลับไปสู่งานประจำอีก  บางที งานประจำมันอาจจะน่าเบื่อ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย สภาวะรอบตัวเราที่มันขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนี้ มันทำให้เราต้องดิ้นรนเพื่อหาความมั่นคงและความอยู่รอดต่อไปให้ได้ ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม


 


โบราณท่านว่า "ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกราญ"  แต่ผมว่าเป็นหญ้าแพรกนี่ละดี โดนเหยียบโดนทับ เดี๋ยวก็ฟื้นได้ ถ้าเป็นไม้ใหญ่ล้มแล้วลุกยาก


 


ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ ดูทิศทางลมกันให้ดีเถิดครับ