เมื่อผมกลายเป็นโรคบ้าประชาไท
คอลัมน์/ชุมชน
1
อีกเช้า, เมื่อผมตื่นนอนขึ้นมา ผมเริ่มรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นคนบ้าข่าว เป็นโรคเสพติดประชาไท ยิ่งนับวันยิ่งเริ่มรู้สึกว่ามันได้ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว ตื่นนอน ลุกลงจากเตียง เดินออกห้องประตู ตรงไปโต๊ะทำงานก่อนอื่น เปิดคอมพิวเตอร์ เปิดอินเตอร์เนต แล้วเปิดเว็บไซต์ประชาไท ก่อนจะเดินไปเสียบไฟต้มน้ำ ชงกาแฟ เข้าห้องน้ำ ทำกับข้าว ฯลฯ
เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงมีอาการแบบนี้กันไม่มากก็น้อย...
และคงถามตัวเองด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าทำไมถึงบ้าข่าว...ทำไมถึงติดประชาไท!?
เพียงแต่ว่าแต่ละคนอาจจะมีเป้าหมายที่แตกต่างกันในการเข้ามาเปิดอ่านประชาไท... อย่างผมเปิดเข้ามาเพื่อเป้าประสงค์แรกก็คือ เช็คดูข่าวที่เขียนส่งไป และเปิดอ่านข่าวทั้งหมดในเว็บไซต์ ก่อนละเลียดอ่านงานอันอ่อนนุ่ม อ่อนโยนในคอลัมน์และชุมชนประชาไท เพื่อลดความเครียดและแข็งของเนื้อหาของข่าว และคำวิพากษ์วิจารณ์ผสมกับคำบริภาษด่าทอกันในเว็บบอร์ดอันกักขฬะ กราดเกรี้ยว และรุนแรง
เมื่อพูดถึงผู้คนที่เข้ามาในประชาไทในห้วงขณะนี้ ว่ากันว่ามีกลุ่มคนมากมายหลายกลุ่มด้วยกัน แต่ที่แน่ ๆ และเห็นเด่นชัด ก็คือ กลุ่มที่แวะเข้ามาชมขาจร เข้ามาอ่าน ก่อนจากไป กับกลุ่มที่สิงสถิตสถาพร กระทั่งฝังฝากชีวิตเอาไว้ ณ ที่นี่ คล้าย ๆ กับว่า ประชาไทคือฐานที่มั่น คือรังนอน และคือรังตาย (ในอนาคต) อย่างไรอย่างนั้น
มีการพูดกันว่า ผู้เข้าชมประชาไทในขณะนี้อยู่ในหลักหมื่นสองหมื่นต่อวัน และอยู่ในอันดับเว็บไซต์ข่าวที่มีการสำรวจพบว่า ประชาไทอยู่ในอันดับต้น ๆ ประมาณอันดับที่ 15-17 ของเว็บไซต์ข่าวทั้งหมด
แต่ก็นั่นแหละ...ผมว่าบางทีจำนวนผู้เข้าชมจำนวนมาก ใช่ว่าจะเป็นการประเมินประชาไทได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ผมว่า คุณภาพมากกว่าที่จะเป็นตัวชี้วัด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นก็อาจถือได้ว่าคือหนึ่งในตัวชี้วัด คุณภาพของข่าว คุณภาพของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
เกือบลืมบอกไป ว่าคนเข้าอ่านประชาไทในขณะนี้ มีเกือบทุกระดับ ว่ากันว่า มีตั้งแต่ข้างบน ลงมาถึงข้างล่าง มีตั้งแต่เชื้อเจ้าถึงไพร่ มีทั้งกลุ่มนักศึกษา นักวิชาการทั้งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร กับกลุ่มนักวิชาการที่ชื่นชอบการรัฐประหาร (เพราะได้โอกาสการเข้าถึงซึ่งตำแหน่งและอำนาจ) และยังมีทั้งนักการเมืองที่อกหักจากการถูกรัฐประหาร กลุ่มนักการเมืองที่รอความหวังหลังการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเร่งฟื้นคืนชีพรอการเลือกตั้ง เพื่อเข้าไปนั่งในสภาอันทรงเกียรตินั้นไว ๆ อีกครั้ง (ซึ่งก็คงไม่พ้นพวกหน้าเดิม ๆ อีกนั่นแหละ)
แน่นอน กลุ่มที่เข้ามาดูประชาไท ย่อมมีกลุ่มทหารที่เป็นทั้งกลุ่ม คมช. และทหารกลุ่มที่หลายคนชอบเรียกว่า กลุ่มผู้บารมี ที่เข้ามาเช็คข่าวกันอยู่ทุกวัน
และที่สำคัญ นอกจากมีสมาชิกประชาไทโดยตรงแล้ว ก็ยังมีกลุ่มชาวบ้าน ประชาชนคนไทยที่เกลียดระบอบทักษิณ เกลียดคนโกงที่เข้ามาชมเข้ามาอ่าน รวมทั้งกลุ่มชาวบ้าน ประชาชนคนไทยที่รักไทยรักไทย รัก(อดีต)นายกฯ ทักษิณ ที่อกหักเหมือนคนหนุ่มสาวที่หลงรักใครคนหนึ่งอย่างหัวปักหัวปำ กระทั่งมองเห็นดำเป็นขาว เห็นขาวเป็นดำ และไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ที่นี่จึงกลายเป็นศาลาพักริมทาง ให้คนกลุ่มนี้ได้แวะเวียนเข้ามาพักเพียงชั่วคราว กระทั่งหลายคนบอกว่า ขออยู่ยาวที่ศาลาประชาไทแห่งนี้ดีกว่า
ซึ่งกลุ่มคนทั้งหมดทั้งมวลนี้ ได้นำพาตัวเองไปสู่การเข่นฆ่าฟาดฟันทางอารมณ์ มีการสำเร็จความใคร่ทางความคิดอยู่ในท้ายข่าว และในเว็บบอร์ด อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้
* * * * *
2
"ประชาไท เปลี่ยนไปแล้วว่ะ..." เสียงใครคนหนึ่งสบถออกมา
"เปลี่ยนยังไงเหรอ..."
"เบื่อจังเลย ไอ้พวกโพสต์แสดงความคิดเห็นแบบใช้อารมณ์กราดเกรี้ยวแบบนั้น ช่างไร้สาระ ไร้เหตุผลสิ้นดี"
"เราไม่อ่านเลยนะ ตรงเว็บบอร์ดแสดงความคิดเห็น เพราะเราดูว่ามันทำลายสุขภาพจิต..."
"แต่ฉันว่า นี่ถือเป็นการส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางสังคม เหมือนที่ประชาไทตั้งเป้าเอาไว้แล้วนะ..."
"มันส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกันก็จริง แต่บางครั้ง มันไปกระทบต่อสิทธิของผู้อื่นโดยตรง สิทธิเสรีภาพ ก็กลายเป็นการขาดความรับผิดชอบนะซี"
"รู้สึกว่า ประชาไทตอนนี้กลายเป็นพวกทักษิณ ไทยรักไทยไปแล้วนะ เพราะเห็นว่า มีแต่กลุ่มเชียร์ทักษิณกันเยอะมาก และมีแต่คนเข้ามาด่า คมช.รัฐบาลสุรยุทธ์"
"อืมม พวกเขาอาจไม่มีที่ยืน ก็เลยมาสิงสถิตที่นี่ก็ได้ แต่จริง ๆ แล้ว ประชาไท เราแสดงจุดยืนอยู่แล้วนะ คือไม่เอาทั้งระบอบทักษิณ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง" เสียงใครคนหนึ่ง ในกอง บก.ตะโกนออกมา
"และเราก็ไม่เชื่อหรอกนะว่า สื่อจะมีความเป็นกลางจริง ๆ..." เสียงสอดแย้งขึ้นมาทันควัน
"ก็เข้าใจ ว่าไม่มีสื่อที่ไหนหรอกที่จะเป็นกลางอย่างแท้จริง แต่เพียงอยากบอกให้เสนอข่าวให้ครบด้าน ทั้งขาวและดำ ให้เห็นสีเทาด้วยยิ่งดี..."
"แต่เราก็ไม่อยากให้ประชาไท กลายเป็นเวทีเลือกข้าง จนลืมนำเสนอข่าวให้มันรอบด้าน จนลืมว่า ตัวเองเป็นสื่อ ไม่ใช่นักต่อสู้ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยจ๋า จนลืมว่า ตอนนี้ ประชาไท เป็นมูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน ซึ่งเป้าหมายหลักจริง ๆ คือ ให้ความรู้ให้การศึกษาผู้อ่านให้รอบด้าน"
"เออ นั่นสินะ..."
"ที่แน่ ๆ ผมรู้อย่างหนึ่ง คือ พวกสันติบาลชอบเปิดประชาไทดูทุกวัน พวกเขาบอกว่า มีข้อมูลอะไรเด่น ๆ แปลก ๆ ที่สื่ออื่นไม่ค่อยมี"
ผมกลับไปคลิกอ่าน "เกี่ยวกับประชาไท" อีกครั้ง...ทำให้เห็นการเติบก้าวของประชาไท เป็นการก้าวย่างมาได้ไม่กี่ขวบปี จากโครงการเล็ก ๆ จนกลายมาเป็นมูลนิธิฯ ขึ้นมา
แล้วพอหันไปเปิดดูเว็บบอร์ดแสดงความคิดเห็นท้ายข่าวอีกครั้ง ผมเห็นอารมณ์สบถ กราดเกรี้ยว กักขฬะ รุนแรง พ่นแผ่กระจายออกมาตามถ้อยความตัวหนังสือเหล่านั้น...
* * * * *
3
ผมหยิบนิตยสาร Way ฉบับเดือนธันวาคมที่ผ่านมาขึ้นมาอ่านอีกครั้ง...
"ปาลี"* ตัวละครของ "ทินกร หุตางกูร" พูดเรื่องข่าวไว้ว่า เธอไม่รู้ว่าหนังสือพิมพ์ 1 ฉบับ มีเรื่องของคนกี่คน ทว่ามีความจริงข้อหนึ่งเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ที่ปาลีไม่อยากยอมรับ คือคนชอบอ่านข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี เราสามารถอ่านข่าวร้ายวันละหลายข่าว โดยไม่รู้สึกอะไร ถ้าคน (เคราะห์ร้าย) ในข่าวไม่ใช่พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน คนที่เรารู้จัก เราอาจสลด แต่จะลืมความสลดในเสี้ยววินาที เพราะคนในข่าวเป็น "คนอื่น"
เธอยังบอกในตอนท้ายด้วยว่า เธอไม่ชอบอ่านข่าวร้ายในหนังสือพิมพ์ แต่ปาลีตระหนักว่า มนุษย์ทุกคนมีสัญชาติญาณอยากรู้ข่าวร้ายของคนอื่น เพื่อชโลมใจว่าชีวิตของตนดีกว่า การทำให้คำว่า "เพื่อนมนุษย์" มีพลังเหนือคำว่า "คนอื่น" เราต้องฝึกใจไม่ให้เห็นแก่ตัว เหมือนเจ้าชาย
* ปาลี คือ ตัวละครของ "ทินกร หุตางกูร" ในคอลัมน์ ปาลีกับศิลปะ ของนิตยสาร Way ฉบับเดือนธันวาคม 2549