Queer Theory โดย อ.ปีเตอร์ แจ็คสัน (2)
คอลัมน์/ชุมชน
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย
แล้ว Queer Theory นี้จะนำมาใช้วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ปรัชญาไทยได้หรือไม่ เรื่องนี้อาจจะเป็นประโยชน์บ้าง แต่เราต้องคิดว่าทฤษฎีมันคืออะไรมาจากไหน ทฤษฎีนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทฤษฎีเป็นแค่การพยายามหาแก่นความคิดหลักในปรากฏการณ์รอบตัวเรา เช่น อาจารย์ Foucault ใช้ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสในการวิเคราะห์ เขาไม่รู้เรื่องประเทศอื่นๆ เลย แม้ในยุโรป เอเชีย แอฟริกา ไม่รู้เรื่องเลย ถ้า Foucault เอาหลักฐานจากที่อื่นที่ไม่ใช่ของยุโรปมาวิเคราะห์ ก็มีความเป็นไปได้ว่าไอเดียของเขาจะเปลี่ยนไป
ถ้าเราจะนำมาใช้ที่นี่ เราต้องคิดว่าทฤษฎีอาจจะเปลี่ยนไปได้ คำตอบนั้นยังไม่ชัดเจน ยกตัวอย่างเมื่อ 30 ปีก่อน ทฤษฎีของมาร์กซจะใหญ่ที่นี่ ทั้งในพรรคคอมมิวนิสต์ของไทย ในธรรมศาสตร์ จิตร ภูมิศักดิ์ ก็ประยุกต์ใช้ไอเดียของมาร์กซมาวิเคราะห์ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมของไทย คนสมัยนั้นก็เจอคำถามเดียวกับเราคือ ไอเดียของมาร์กซมาจากยุโรป แล้วจะนำมาใช้ที่นี่ได้หรือ คำตอบที่ออกมาก็เป็นการถกเถียง บางคนบอกว่าใช้ได้ บางคนว่าใช้ไม่ได้ บางคนบอกว่าต้องนำทฤษฎีมาปรับปรุง
ในเมืองจีนนั้น มีแนวคิดเรื่องกึ่งอาณานิคม ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ไทยเอามาใช้ด้วย ในสมัยที่มีการปฏิวัติที่จีน เหมาเซตุงมีความคิดว่า มาร์กซนั้นเอามาใช้ประโยชน์ที่จีนได้ แต่ไม่ได้ 100 % เพราะว่ามาร์กซนั้นคิดถึงแต่ประเทศที่เป็นเอกราชและประเทศอาณานิคม ตามความเข้าใจของคนตะวันตก แต่จีนนั้นไม่ได้เป็นอาณานิคมแท้ ๆ เพราะว่าบางส่วนเป็นอาณานิคม แต่บางส่วนก็เป็นเอกราช มาร์กซไม่มีความคิดเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นคนสมัยนั้นที่จะเอาไอเดียของมาร์กซมาใช้ก็ต้องสร้างความคิดใหม่ ที่เรียกว่า "กึ่งอาณานิคม"
นี่อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งในการนำทฤษฎีมาใช้ อาจจะเป็น
ตัวอาจารย์ปีเตอร์เอง พยายามเอาทฤษฎี Foucault มาอธิบายประวัติศาสตร์ของวาทกรรมทางเพศของไทย Foucault มีความคิดว่าโครงสร้างของโรงเรียน โครงสร้างของการแพทย์ โครงสร้างของรัฐ ที่เน้นเรื่องเพศของคน จะเป็นที่มาของอัตลักษณ์ทางเพศของสังคมสมัยใหม่ หมายความว่าอำนาจในสิ่งแวดล้อมมาก่อน อัตลักษณ์มาทีหลัง แต่ว่าอาจารย์พบว่าในเมืองไทย เรื่องคนรักเพศเดียวกันนั้น ทางการแพทย์เริ่มพูดถึงเมื่อประมาณ 30-40 ปีก่อนนี้เอง เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็มีคนรักเพศเดียวกัน แต่ว่าหมอที่นี่ไม่เข้าใจเลย เป็นเรื่องเล็กที่ไม่เป็นปัญหา
อาจารย์ปีเตอร์เสนอว่า สำหรับที่นี่ มีอัตลักษณ์ใหม่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีวิธีแก้ไข ความเป็นเกย์ปรากฏในหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2507-08 เป็นครั้งแรก หนังสือพิมพ์รายงานเป็นครั้งแรกว่ามีเกย์ไปชุมนุมกันที่สวนลุมพินี แต่สมัยนั้นหมอไทย ครูไทย ยังไม่ได้ระบุว่าคนรักเพศเดียวกันเป็นปัญหา เขาระบุว่านี่เป็นปัญหาหลังจากอัตลักษณ์ใหม่ลงในหนังสือพิมพ์ ซึ่งหลักฐานนี้ตรงกันข้ามกับแนวคิดของ Foucault
อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่ออาจารย์ปีเตอร์กลับมาดูหลักฐานของนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางมาไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งไม่มีใครพูดถึงเรื่องเกย์กะเทยเลย ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบัน หนังสือท่องเที่ยวเมืองไทยจะต้องมีหัวข้อเรื่องกะเทยอยู่ด้วย ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของประเทศไทยในสมัยนี้ที่แตกต่างจากสมัยก่อนมาก หลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรม
เมื่อกลับไปดูหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ 5 พบว่าสมัยนั้นไม่สนใจเรื่องเพศวิถี ไม่สนใจว่าคนรักเพศเดียวกันไหม แต่สนใจว่าคนแต่งตัวแบบไหน นี่เป็นเพราะหลังจากที่รัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากยุโรปแล้ว ก็พยายามเปลี่ยนวิธีแต่งตัวของคนในวังให้เป็นในรูปแบบของยุโรป คือแต่งตัวให้ทั้งสองเพศมีความต่างกัน เช่น ให้ผู้หญิงในวังไว้ผมยาว ใส่กระโปรง ผู้ชายใส่กางเกง ซึ่งก่อนหน้านั้นทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะแต่งตัวคล้าย ๆ กัน จะต่างกันบ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ระบบอำนาจที่ Foucault เรียกว่า Bio-power เป็นโครงสร้างอำนาจที่เกี่ยวกับชีวิตของคน เช่น การแพทย์ กฎหมาย โรงเรียน ในประเทศไทยมีอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างน้อย แต่ไม่ได้สนใจจะกำหนดเรื่องเพศวิถีของคน แต่สนใจที่การกำหนดเพศภาวะของคน
ตัวอย่างสุดท้าย สมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม นโยบายของจอมพลป. หลาย ๆ ครั้งก็เลียนแบบนโยบายของรัชกาลที่ 5 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพลป.จัดตั้งคณะกรรมการที่จะตั้งชื่อคนไทยให้ตรงเพศ ก่อนหน้านั้นชื่อคนไทยไม่ได้ระบุเพศ สมศักดิ์อาจเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ แต่คณะกรรมการนี้ระบุเพศให้ตายตัว แล้วจอมพลป.ก็ประกาศชื่อที่ถูกต้องตามเพศ และบังคับให้พ่อแม่ที่ตั้งชื่อลูกต้องตั้งชื่อตามเพศ ดังนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อคนไทยจึงมีเพศ นี่เป็นเพราะอำนาจรัฐเข้ามาควบคุม แต่เราจะเห็นว่าชื่อเล่นยังไม่แบ่งแยกเพศตามแบบโบราณอยู่ ซึ่งจอมพลป. ไม่ได้ให้ระบุชื่อเล่นของคนไทยตามเพศ
ถ้าใช้ทฤษฎีของ Foucault นี่เป็นตัวอย่างของ Bio-power ที่รัฐเอาอำนาจมาแบ่งเพศ ทั้งรัชกาลที่ 5 ถึงจอมพลป. เน้นให้ผู้หญิงและผู้ชายต่างกัน สมัยจอมพลป. เองมีกฎหมายด้านวัฒนธรรมหลายอย่างมาก จนสมัยนี้เราคิดว่านี่แหละเป็นวัฒนธรรมไทย แต่จริง ๆ เพิ่งมีมาเมื่อสมัยจอมพลป. เท่านั้น การแต่งตัวแยกเพศของคนในประเทศก็ถูกบังคับในสมัยจอมพลป. เช่นกัน มีกฎหมายระบุว่า ถ้าชาวบ้านจะไปอำเภอต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย คือ ผู้ชายต้องใส่กางเกง ผู้หญิงต้องใส่กระโปรง และต้องใส่เสื้อด้วย เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ผู้ชายไทยต้องมีกางเกงสักตัว และผู้หญิงต้องมีกระโปรง คือแต่งตัวแบบตะวันตก แต่จอมพลป. ไม่ได้สนใจเพศวิถี ไม่ได้สนใจว่าผู้ชายที่ใส่กางเกงเป็นเกย์หรือไม่
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือเรื่องกะเทย เมื่อย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์หลักฐานของกะเทยค่อย ๆ น้อยลง จนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 เกือบจะไม่มีเลย กะเทยเป็นเรื่องใหญ่ประมาณหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเริ่มมีปรากฏในหนังสือพิมพ์ เป็นที่สนใจของแพทย์ ซึ่งอาจารย์ปีเตอร์เสนอว่ากะเทยเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาหลังจากที่คนไทยต้องแต่งตัวแบบตะวันตก คือแบ่งแยกชายหญิงชัดเจน เพราะนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่แต่งตัวข้ามเพศได้ ดังนั้นถ้าชายแต่งหญิง หญิงแต่งชาย จะเห็นออกมาได้ชัดเจน หนังสือพิมพ์ไทยลงข่าวเรื่องกะเทยครั้งแรกก็ในสมัยจอมพลป. นี่เป็นปรากฏการณ์สมัยใหม่ และชี้ให้เห็นถึง Bio-power
สรุปว่า Foucault มีประโยชน์ แต่ว่าในการวิเคราะห์ เราต้องคำนึงถึงหลักฐานของที่นี่ และบางครั้งต้องปรับปรุงทฤษฎีให้เข้ากับที่นี่