Skip to main content

คราบน้ำตาจากดอยสูง

คอลัมน์/ชุมชน

"คราบน้ำตาจากดอยสูง" เป็นเรื่องสั้น ที่ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจ หลังจากมีโอกาสได้ไปเยือนสาละวิน บริเวณชายแดนไทย-พม่า เมื่อปีที่ผ่านมา ถอดความโดย "สุมาตร ภูลายยาว"


 


                                                                                                                                   


 


 



 


 


"อย่าร้องไห้เลยเธอจ๋า! ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกที่ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีประเทศ เธอรู้ไหม เธอก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพี่นี่แหละ แต่ถ้าการร้องไห้ทำให้โลกใบนี้ของเธอสดชื่นขึ้นมาบ้าง ก็จงร้องไห้เถอะที่รัก ยิ้มเถอะคนดี พี่จะเช็ดน้ำตาให้เธอเอง บ้างทีพระแม่คงคาคงรับรู้เรื่องนี้" ข้าพเจ้าพยายามบังคับลิ้น เพื่อจะพูดภาษาไทยให้ถนัด, ขณะที่น้ำตาจากเบ้าตาไหลซึมลงสู่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน


           


ขณะที่น้ำตาไหลออกมา ข้าพเจ้ากำมือเธอไว้แน่น ฉับพลันก็มีเงาดำใหญ่เท่าภูเขาทาบลงมาหอบเอาเธอขึ้นสู่ท้องฟ้า


           


"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!!! " เธอส่งเสียงร้องออกมาเป็นภาษาไทย เมื่อตั้งสติได้ ข้าพเจ้าทั้งวิ่งเลียบริมน้ำ ทั้งส่งเสียงร้องตามหาเธอจนสุดเสียง


           


"อย่าเอาเธอไป! ได้โปรดอย่าเอาเธอไป! อย่า...!!!"


           


ไม่รู้เลยว่าวิ่งมาได้ไกลขนาดไหน, ทั้งร้องเรียกหาเธอ ทั้งวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ สายตาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าตัวเองวิ่งมาถึงที่ไหน แต่กว่าจะหยุดวิ่งก็ต่อเมื่อข้าพเจ้าวิ่งชนขอนไม้แล้วหกคะเมนตีลังกาไปข้างหน้า พอตั้งสติได้ก็พยายามจะวิ่งตามหาเธอต่อไป แต่อนิจจา ข้าพเจ้ากลับลุกไม่ขึ้น, ชั่วครูเดียว ชาวบ้านก็วิ่งมาถึงจุดที่ข้าพเจ้าล้มลง, ข้าพเจ้าพยามยามใช้มือค้ำเพื่อพยุงตัวเองขึ้นมาอีก แต่แล้วก็มีมืออันใหญ่โตและหนักตบลงมาบนไหล่พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสำเนียงภาษาไทย คล้ายกับว่าสำเนียงเสียงของเขาไม่ค่อยชัดเจนเท่าใด


           


"อย่าเพิ่งลุก! คุณกำลังเจ็บ!"


           


หลังตั้งสติได้ ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นนั่ง, หลังจากนั้นก็ใช้มือข้างขวาคลำสำรวจร่างกายว่าเจ็บตรงไหนบ้าง ในที่สุดก็รู้ว่าบริเวณศอกมีแผลถลอก และหัวเข่าแตกมีเลือดไหลซึมออกมา ข้าพเจ้ามองหาคนที่อยู่ด้านข้างแล้วพูดกับเขาว่า


           


"พวกเราจะทำยังไง?"


           


"ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง!"


           


ข้าพเจ้านั่งบ่นอยู่กับพื้นทราย นอตะนูทู! จะต้องทำอย่างใดบ้างถึงจะช่วยเธอได้ เราจนปัญญาแล้วหรือนี่ ขอโทษนะที่ปล่อยให้เธอต้องเผชิญอันตรายเพียงลำพัง...


             


"พี่ชาย พวกเราไม่สามารถช่วยเธอได้อีกแล้ว พวกเขาเอาเธอไปแล้ว!"


           


ข้าพเจ้าค่อยๆ เหลียวมองไปหาที่มาของเสียง, เขาเป็นคนที่ห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ลุกขึ้นวิ่งไปตามหานาง เขาเป็นคนมีร่างกายค่อนข้างแข็งแรง ดำเข้ม แต่มีแววตาที่หมองเศร้าบนใบหน้า เขาเดินเข้ามาจับมือแล้วดึงให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นเดินไปกับเขา


           


"รู้ไหม! พวกเรามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ได้ 27 ปีแล้ว, ริมฝั่งน้ำสาละวินเป็นเหมือนกับถิ่นฐานบ้านเกิดที่แท้จริงของพวกเรา พี่ชายอาจจะยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ เพราะพี่ชายไม่ใช่คนกะเหรี่ยง"


           


"แล้วชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ได้ยังไง" ข้าพเจ้าถามเขาด้วยความสนใจ เขาหยุดเดิน ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางเรื่อง แล้วเขาก็ถามข้าพเจ้าว่า


           


"พี่ชาย นอตะนูทูไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังหรือ"


           


"พูด, แต่อยากรู้เพิ่มว่าเรื่องราวเป็นมายัง"


           


เขากำแขนของข้าพเจ้าแน่นจนรู้สึกได้ว่า มันแน่นจนเกินไป แล้วก็จูงมือข้าพเจ้าไปที่ขอนไม้ใกล้ทางลงท่าเรือ แล้วดึงข้าพเจ้านั่งลง สายตาของเขามองข้ามสายน้ำสาละวินไปฝั่งพม่า ซึ่งมีแต่ป่ามีสีเขียวและแนวเขาสลับซับซ้อนกัน


 


แล้วเขาก็ก้มหน้าลงมองหาดทรายเบื้องหน้า เสียงถอนหายใจยาวๆ ดังขึ้นก่อนเขาจะพูดกับข้าพเจ้าด้วยสำเนียงภาษาไทยปร่าแปร่งว่า "ตอนนั้นข้าเป็นเด็กอายุประมาณ 2 ขวบ, พ่อแม่พาอพยพมาอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำสาละวิน เพราะฝั่งขวาอยู่ไม่ได้ อยู่ฝั่งโน้นชาวบ้านถูกตามล่าเหมือนสัตว์ป่าแทบทุกวัน แต่ละวันทุกคนต้องกินข้าวกับน้ำตา, เสียงร้องไห้มีอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้า นานๆ ก็มีเสียงปืนดังขึ้น มันเป็นเหมือนสัญญาณบอกให้เรารู้ว่าชาวกะเหรี่ยงได้ลาจากโลกนี้ไปหนึ่งหรือสองคนแล้ว สิ้นเสียงปืน เสียงร้องไห้ก็ตามา ตามต้นไม้เต็มไปด้วยคราบเลือด"


           



 


 


เขาหยุดเล่าเรื่องชั่วอึดใจหนึ่ง เงาดำทะมึนเท่าภูเขาก็เคลื่อนตัวมาทางด้านเหนือ ข้าพเจ้าเฝ้ามองอย่างใจจดจ่อ สิ่งนั้นมันมีฟันใหญ่เท่าแม่น้ำสาละวิน แววตาแดงเข้ม มีน้ำลายไหลลงมาตามริมฝีปากทั้งสองข้าง มันส่งเสียงหัวเราะดังๆ ออกมา ‘ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..กูจะกินพวกมึงให้หมดจากแผ่นดินนี้’ ไม่นานนักใบหน้าที่โหดร้ายก็หายไป แต่เงาดำทะมึนนั้นเหมือนกับว่าหนาทึบกว่าเดิม ข้าพเจ้าไสตัวเองเข้าหาที่กำบัง เพื่อเฝ้ามองเงาทะมึนดำที่แผ่กระจายคลุมสองฝั่งแม่น้ำสาละวิน


           


"นั่นๆ ดูสิ มันกำลังจะกลืนเอาหมู่บ้านแม่ดึ๊และหมู่บ้านอื่นๆ"


           


"อย่าพูด ถ้ามันได้ยิน พวกเราตายแน่" ตานูทั้งพูด ทั้งดึงแขนของข้าพเจ้าให้เข้าใกล้โคนต้นไม้ที่หญ้าขึ้นหนาทึบ เสียงแผดร้องดังก้องไปทั่ว,ไม่นานนักก็มีเสียงร้องไห้ดังลอดออกมาจากเงาทะมึนดำมหึมานั้น เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง ‘ช่วยฉันด้วย! ฉันกำลังจะตาย ช่วยด้วย!ใครก็ได้ช่วยฉันที’ ข้าพเจ้าแน่ในใจว่า เสียงแบบนี้ไม่ใช่เสียงคนอื่น เป็นเสียงนอตะนูทูคนเดียว แล้วข้าพเจ้าก็กระโดดออกจากที่กำบังพร้อมกับส่งเสียงร้องออกไป


           


"นอตะนูทู! ฉันอยู่นี่ รีบออกมาจากที่นั้น ฉันจะช่วยเธอเอง ออกมา!"


           


"ทำไมพี่ชายทำอย่างนี้ มันไม่ใช่เพียงชีวิตของพี่ชายและข้าเท่านั้นนะ มันหมายถึงชีวิตของกะเหรี่ยงริมฝั่งน้ำสาละวินทั้งหมด เข้ามา" ตานูทั้งพูดทั้งดึงแขนข้าพเจ้ากลับเข้าที่กำบัง เสียงลั่นโครมครามดังขึ้นเป็นลำดับ, ทุกทิศทุกทางมืดจนมองอะไรไม่เห็น เสียงหัวเราะดังแรงขึ้นเป็นลำดับ ภูเขาทุกลูกโยกไหวไปมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ ไม่ต่างอะไรกับยักษ์ตัวร้ายกาจ ‘กินพวกนี้ให้หมดสิ้น ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า’ ข้าพเจ้าและตานูแนบตัวลงติดพื้นดินจนเกือบหายใจไม่ได้ ทั้งครุ่นคิดในใจ มันจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม


           


"มันจะเป็นอย่างนี้อีกนานไหมตานู?" เมื่อทนรอไม่ไหว ข้าพเจ้าก็กระซิบข้างหูตานู เพื่อหาคำตอบ


           


"ตราบใดคนกะเหรี่ยงยังอยู่ตรงนี้ เหตุการณ์แบบนี้ก็จะมีอยู่อย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ไป" ตานูกระซิบข้างหูของข้าพเจ้า


           


ข้าพเจ้ามองออกไปจากโคนต้นไม้เมื่อเสียงนั้นเงียบลง, อพิโธ่! ทั่วแผ่นดินกลายเป็นสีแดงไปหมด มันเหมือนกับคราบเลือดติดอยู่ตามต้นไม่ใบหญ้า เหลียวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าคล้ายกับสีของสนิม ขณะหนึ่ง เสียงร้องไห้ก็ดังออกมาจากก้อนเมฆสีดำก้อนหนึ่ง เสียงนั้นเป็นสำเนียงภาษาไทยปร่าแปร่ง


           


"เธอจ๋า! ช่วยฉันด้วย! ช่วยด้วย ฉันอยู่บนนี้มันทรมานเหลือเกิน ถ้าฉันอยู่บนนี้ต่อไป ฉันคงต้องตายแน่ ช่วยด้วย...!!!"


           


"ฉันอยู่นี่! ฉันยังรักเธอเหมือนเดิมนอตะนูทู...!!!"


           


ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นจนลุกนั่ง, หายใจไม่ทั่วท้อง จนต้องเดินไปที่โต๊ะจับกระติกน้ำรินใส่แก้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ แล้วจึงยกมือขวาขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ยังค้างอยู่ขอบเบ้าตาออก ทั้งบ่นกับตัวเอง


 


 ‘ขอให้โชคดีทุกคน! พวกเราล้วนมนุษยชาติด้วยกันทั้งนั้น...!!!’