Skip to main content

(หลาย) ครั้งหนึ่งในชีวิต

คอลัมน์/ชุมชน

One Moment in Time   by Whitney Houston


 


Each day I live I want to be


A day to give the best of me


I'm only one but not alone


My finest day is yet unknown


I broke my heart for every gain


To taste the sweet I faced the pain


I rise and fall yet through it all


This much remains


Chorus:


I want one moment in time


When I'm more than I thought I could be


When all of my dreams are a heartbeat away


And the answers are all up to me.


Give me one moment in time


When I'm racing with destiny


Then in that one moment in time


I will feel, I will feel eternity


I've lived to be the very best


I want it all - no time for less


I've laid my plans, now lay the chance


Here in my hands


<Repeat Chorus>


You're a winner for a lifetime


If you seize that one moment in time - make it shine


Final Chorus:


Give me one moment in time


When I'm more than I thought I could be


When all of my dreams are a heartbeat away


And the answers are all up to me.


Give me one moment in time


When I'm racing with destiny


Then in that one moment in time


I will be, I will be, I will be free   


(เนื้อเพลงจาก http://www.geocities.com/ystradband/OneMomentInTime.html


 


หากอยากชมมิวสิควิดีโอ ดูได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=8EbYmMb4lR4 และ


http://www.youtube.com/watch?v=zC7-srK_cNQ&NR )


 


สองสามวันที่ผ่านมาผู้เขียนได้เห็นการแข่งขันหลายอย่างในชีวิต จึงหันมามองตนเอง จำได้ว่าเมื่อ เกือบ 20 ปีที่แล้ว คือปี 1988 เพิ่งจบปริญญาโทใหม่ๆ จากแคนซัส ตอนนั้นอายุ 23 กว่าๆ จบปุ๊บก็ได้ไปส่งน้องสาวเรียนหนังสือที่อังกฤษและไปเยี่ยมพี่ชายที่ไปประจำที่นั่น ไปไม่นานแค่ราวสองอาทิตย์ เพราะต้องรีบกลับมาทำงาน ตอนนั้นได้ดูรายการถ่ายทอดสดโอลิมปิคส์จากเกาหลีใต้จากทีวีในอังกฤษ จำได้ว่าอากาศเริ่มหนาวแล้วที่แมนเชสเตอร์ มีเพลง One Moment in Time ดังกล่าวเป็นเพลงฮิตของงานนี้ สอดคล้องกับความสำเร็จที่ตนเองคิดว่ายิ่งใหญ่ในตอนนั้นที่จบปริญญาโทมาได้


 


ทุกครั้งที่คิดถึงเพลงนี้ ผู้เขียนจะหวนคิดถึงช่วงที่มีพลังเต็มเปี่ยม แต่ขาดการยั้งคิดในหลายเรื่อง ตอนนั้นอดหลับอดนอนหลายๆวันไม่เป็นปัญหา บุกน้ำลุยไฟได้ทรหดกว่านี้แยะ  แล้วมองว่าเสียดายกำลังที่หายไปเหล่านั้น สังขารนั้นถดถอยไปจริงๆ มีแต่ความนิ่งและความคิดที่ตกผลึกเข้ามาแทน แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้อย่างที่ตนเองอยากให้เป็นนัก ยังอยากให้ตนเองเก่งกว่านี้


 


นักศึกษาที่เรียนกับผู้เขียนสมัยนี้ ก็คงอยากสำเร็จการศึกษาแบบที่ผู้เขียนเคยอยาก แต่ว่ามีกระบวนการการได้มาที่ต่างออกไป น้อยคนนักที่เรียนเพราะอยากรู้ อยากมีความคิดที่แตกฉานออกไป ส่วนมากก็คงอยากได้แค่ใบปริญญา เป็นใบเบิกทาง เป็น"ตัวช่วย" ในชีวิต อนิจจาสมัยนี้ทุกอย่างก็เอื้อให้เป็นไปแบบนี้เสียด้วยเพราะกลไกที่มาจากทุนนิยมหลังสมัยใหม่


 


มีนักศึกษาหลายคนบ่นออกมาว่า เหนื่อยเหลือเกินกับการเรียน ผู้เขียนจึงปลอบใจไปว่า "เรียนอะไรก็ต้องทำงานหนักทั้งนั้น การเรียนการศึกษาที่มีประสิทธิภาพไม่มีความสบายหรอก" แต่เหมือนว่า ได้แค่เหมือนน้ำสองจอกที่ลูบไปบนเปลวเพลิง นักศึกษาหลายคนก็ยังคงบ่นและไม่เข้าใจ  มี mentor ของผู้เขียนมาบอกว่า "ต้องทำใจ ส่วนมากไม่คิดเหมือนกับพวกเราคิด เค้ามาเรียนเพราะว่าต้องการแต่ใบปริญญาเท่านั้น" ทำให้ผู้เขียนระลึกได้ว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วกับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต่างกันนัก ผู้เขียนจึงต้องมองข้ามและทำใจให้ได้ในจุดนี้ และปลอบใจตนเองว่า ถ้ามี 1 ใน 100 ที่เอาใจใส่และคิดได้ ก็ถือได้ว่าเป็นบุญของคนสอน เป็น One Moment in Time  ได้สำหรับครูแบบผู้เขียน


 


จำได้ว่าตอนเรียนปริญญาโทนั้น ผู้เขียนขาดต้นทุนในทางสังคมและวัฒนธรรม ไปเรียนสาขาวาทวิทยา โดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร ขอให้ได้เข้าเรียน ขอให้ได้จบโทมาสักใบ เพราะพ่อแม่ไม่มีความรู้ ไม่มีพื้นฐานเรื่องนี้ แถมเมืองไทยก็ไม่ได้มีการส่งเสริมวิชานี้มากนัก จำได้ว่าตอนเรียนแรกๆ นี่ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะอ่านมันทุกอย่างแล้วก็อ่านไม่ทัน ร้องไห้ไปฟูมฟายไป โทฯหาแม่หาเพื่อนที่เมืองไทย หลายหนไม่มีเวลาโทฯ หรือเสียดายเงินค่าโทฯที่สุดแสนแพงในเวลานั้น ก็พยายามทำใจแล้วก็ทนๆ อ่าน การอยู่เมืองนอกคนเดียวแบบนี้เป็นการฝึกใจตนเองให้ทนกับสภาพที่ทนได้ยาก หลายครั้งก็สงสารตนเอง แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ เรื่องแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ลูกศิษย์วันนี้ไม่ได้พบ ไม่รู้หรอกว่ามันยากแค้นกว่าที่เจอตอนนี้ในเมืองไทย


 


One Moment in Time ครั้งที่สองของผู้เขียนนั้น คือตอนจบปริญญาเอก คราวนี้หนักหนากว่าคราวแรก กว่าจะจบออกมาได้ ใช้เวลามากกว่าสองเท่า ใช้แรงกายแรงใจหลายอย่าง ทำให้รู้ว่าปริญญาโทนั้นไม่ได้ยากลำบากแต่อย่างใด ทำให้รู้ว่านี่แหละคือการพัฒนาตนเอง แล้วมองย้อนมาว่าเสียดายที่ไม่ได้เรียนที่เมืองนอกเสียแต่เด็กๆ ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ไม่เท่าเทียมฝรั่ง ต้องตะเกียกตะกายมากกว่าพวกเขามาก ในใจอยากให้เมืองไทยสอนเข้มๆ แบบเมืองนอก แต่คงเป็นไปไม่ได้


 


One Moment in Time   ครั้งที่สามของผู้เขียนนั้นคือ ตอนที่หางานได้ในสหรัฐฯ เป็นความฝันอันสูงสุดที่ผู้เขียนมีในตอนนั้น จำได้ว่าไปสัมภาษณ์งานหลายแห่ง ทำให้รู้เลยว่าการหางานและทำงานนั้นยากกว่าที่คิดไว้มากมาย การเป็นนักศึกษาในสหรัฐฯนั้นง่ายกว่าเป็นผู้สอนจริงๆ (ที่ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยสอน) มาก งานที่มีนั้นทำให้ไม่มีเวลาแม้แต่จะไปเที่ยวที่ไหนๆ ไม่มีเวลาหาหวานใจในชีวิต ไม่มีเวลานั่งพักผ่อนจริงๆ ตามที่เคยได้กล่าวมาแล้ว อีกทั้งรู้ชัดเลยว่าฝรั่งนั้นยังไงๆ ก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นคนเท่ากับเค้า เราเป็นแค่ไม้กระถางที่เอามาโชว์ความหลากหลายในองค์กรของเขาเท่านั้น  


 


การกลับมาเมืองไทยนั้นไม่ใช่ One Moment in Time ครั้งที่สี่แต่อย่างใด อาจเป็นเพราะว่าวัยที่เปลี่ยนไป ผ่านสมรภูมิชีวิตมามาก สังขารไม่เอื้อแบบแต่ก่อน ทำให้การให้มองชีวิตแบบแข่งขันกับใครๆ หรือกับตนเองก็ลดน้อยลง หากความขยันก็ยังมีไม่น้อยกว่าเดิม แต่หันมามองความสุนทรีข้างทาง ไม่ใช่มัวแต่มองถึงจุดหมายจนชีวิตขาดหายไป ไร้สีสัน


 


เพื่อนฝรั่งที่มาช่วยสอนที่เมืองไทย บอกว่า "พวกเราทำงานหนักกว่าชาวบ้านอื่นๆ หลายเท่า กว่าจะมายืนในวันนี้ หลายครั้งเราจึงลืมมองไปว่าเราต่างกับชาวบ้านเหล่านั้น เราจึงมองโลกและใช้ชีวิตต่างจากพวกเขา เราไม่ควรที่จะเอาเราเองเป็นปทัสถานในการตัดสินคนอื่นนอกเหนือจากพวกเรา" ทำให้ผู้เขียนต้องหันมาทบทวนตนเองอีกครั้งเมื่อกำลังคิดตัดสินคนอื่นๆ โดยใช้ปทัสถานของตนเองที่ต่างออกจากของชาวบ้าน


 


อย่างไรก็ตาม การที่ทำงานหนักไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหากรู้จักทำโดยไม่หักโหมจนเกินไป ยิ่งในสังคมไทยที่คนหลายคนมักชอบดูดายจึงอาจใช้ไม่ได้ทั้งหมดที่จะปรานีกับความที่ไม่เอาไหนของคนหลายๆ คน


 


สิ่งที่น่าวิตกในสายตาผู้เขียนตอนนี้ก็คือ การที่คนหลายๆ คนมองว่าการได้ชนะในบางเรื่องเช่นการประกวดต่างๆ ไม่ว่าจะเน้นด้านรูปลักษณ์ หรือความสามารถทางเชาวน์ปัญญาก็ตาม จะเป็นจุดสุดท้ายของชีวิต และไม่คิดที่จะก้าวต่อไป ผู้เขียนมีเพื่อนหลายคนที่มักชอบคิดว่า เรียนจบแล้วจบเลย ไม่คิดทำอะไรต่อ ไม่ศึกษาค้นคว้าต่อ หรือเด็กรุ่นใหม่ที่ยังติดกับถ้วยรางวัลความหล่อความสวย ดังกล่าวนี้เป็นอันตรายต่อความเจริญของผู้นั้นอย่างยิ่ง


 


ผู้เขียนมองว่า ในชีวิตหนึ่งๆ คนเราคงไม่ได้มี One Moment in Time เพียงหนเดียวในชีวิต หากแต่มองว่าเป็นแต่ละจุดๆ ในแต่ละช่วงของชีวิต วันนี้และอนาคตผู้เขียนก็ยังเชื่อว่าใครๆ ก็น่าจะมี One Moment in Time อีกอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต เพียงแต่จะออกมาในรูปแบบใดเท่านั้น