Skip to main content

หญิงสาวผู้ยืนมั่นคงอยู่บนความไม่มั่นคงของผู้อื่น

คอลัมน์/ชุมชน

ในสังคมที่ผู้คนไม่มีความมั่นคงและไม่มีความมั่นใจในชีวิต พวกเขาต้องการคำยืนยันในการมีชีวิตอยู่จากใครสักคน---แหละนี่คืองานของเธอ หรือเรียกได้ว่างานของเธอคือ "งานเจ็บป่วยของสังคม"


 


แน่นอน งานของเธอมีมากและจะไม่มีวันหมด นอกจากว่าเธอจะหมดแรงทำเสียก่อน


 


เธอมีไพ่ยิบซีและปากกาเป็นเครื่องมือในการทำงาน ผู้คนเรียกเธอว่าหมอดูก็ถูกต้องในส่วนหนึ่ง  แต่ส่วนใหญ่เธอจะถูกเรียกว่าอาจารย์


 


เธอถูกเรียกว่าอาจารย์ จากการเปิดการอบรมเชิงวิชาการ  เกี่ยวกับการฝึกสมาธิ การบำบัดจิตด้วยหิน และการเรียนรู้ชีวิตจากไพ่ยิบซี 


           


ฉันรู้จักเธอเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ในช่วงนั้นเธอเป็นเด็กหญิงวัยไม่เกิน 18 ปี เป็นอาสาสมัคร ในโครงการเพื่อคนรุ่นใหม่ในหัวเมือง


 


เธอบอกว่านี้เป็นช่วงสำคัญในชีวิตของเธอ  เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงและช่วงหนึ่งที่เธอบอกตัวเองได้ว่า เธอยังสามารถทำอะไรได้อีกเยอะด้วยตัวของเธอเอง เป็นบทหนึ่งที่บอกกับพระเจ้าได้ว่า "ไม่กลัวหากว่าวันหนึ่งอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตหรือจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง"


 


โครงการเพื่อคนรุ่นใหม่ในหัวเมือง เป็นการทำงานกับนักเรียนนักศึกษาพาไปลงพื้นที่กับชาวบ้าน ตามหมู่บ้าน และจัดกิจกรรมเสริมสร้างความคิด การเขียน การพูด การแสดงออก โดยเชิญวิทยากรมาคุยกัน


 


จุดเปลี่ยนของชีวิตคนเรานั้นต่างมีที่มาที่ไป           


 


เธอเล่าว่า เมื่อพ่อที่รักตายจากไป เธอยังเยาว์มาก และต้องเข้ากรุงเทพฯ มาอยู่ในความอุปการะของคุณอาและใช้ชีวิตเป็นคนของเมืองหลวง อาเป็นข้าราชการเป็นคนเข้มงวด และเป็นผู้ดีเก่า เธอจึงเติบโตมาอย่างมีแบบแผนที่ค่อนข้างมีระเบียบทุกเรื่อง


 


เหตุเกิดขึ้นเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอพบว่า ไม่ชอบเรียนเลย อยากจะเขียนหนังสือ  ในช่วงนั้นก็เริ่มเขียนเรื่องสั้น บทกวีลงในแพรวสุดสัปดาห์บ้างแล้ว


 


ด้วยความอยากจะเดินทางอยากเรียนรู้อะไรที่อยู่ข้างนอกบ้าง คุณอาไม่ค่อยจะเต็มใจนักและเธอก็ไม่ค่อยสบายใจ  แต่เมื่อไปถึงพบว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว เพราะพื้นที่ที่ลงไปทำงานนั้นเป็นจังหวัดที่แม่อยู่ และพบแม่กำลังประสบกับปัญหาชีวิต เรียกว่าลำบากมาก  ไม่มีเงินเลย พี่ชายเอารถไปชนคนอื่น มีคดีความขึ้นศาล พี่ชายเป็นกำลังหลักในครอบครัว เขามีปัญหาของเขา   เรียกว่าตกสวรรค์เลยจากคุณหนู ไปทำขนมขายอยู่ในตลาด ขายของเร่ไปตามงานต่าง ๆ  งานประจำปี ประจำจังหวัด งานวัด ไปเช่าที่ขายของ แต่ก็ทำได้อยู่ได้


 


ในขณะอยู่กับแม่ก็ทำงานโครงการเพื่อคนรุ่นใหม่ในหัวเมืองไปด้วย เมื่อโครงการหยุดไป จึงช่วยแม่ทำขนมขายอย่างจริงจัง  ทำขนมถังแตก โตเกียว ขนมเบื้องอยู่พักหนึ่ง


 


ในที่สุดก็กลับกรุงเทพฯ และเริ่มคิดจะทำงานจริงจัง ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับหนังสือบริษัทที่ผลิตหนังสือ หรือสำนักพิมพ์  และได้ทำหนังสือวัยรุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงนั้น ทำอยู่ประมาณ 2 ปี หนังสือก็หยุดปิดตัวลง  หลังจากนั้นก็สมัครทำงานกองบรรณาธิการนิตยสารอีกสองสามเล่ม


 


จุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งคือ


 


เมื่อครั้งได้ทำงานที่หนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งถือเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง  หนังสือเล่มนั้นมีคอลัมน์สัมภาษณ์ผู้รู้ในแขนงต่าง ๆ  คอลัมน์สัมภาษณ์หมอดู สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวกับพวกพลังจิต รวมความก็คือพวกหนึ่งในร้อยทั้งหลาย เธอออกไปสัมภาษณ์และรู้จักคนเหล่านั้น ได้เรียนรู้ไปด้วย มีอยู่แห่งหนึ่งเขาสอนเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิตเธอก็ไปเรียนด้วย และเริ่มรู้สึกว่าชอบด้านนี้ และประกอบกับตัวเองสุขภาพไม่ดี เริ่มป่วยแล้วก็เริ่มรู้สึกว่า บางทีอาการป่วยเริ่มมาจากทางใจเหมือนกัน มันคงสะสมมานาน ก็มีความเครียดค่อนข้างสูง


 


เมื่อรู้ว่าตัวเองสนใจด้านนี้ เธอก็ตัดสินใจไปเรียนรู้มันจริง ๆ เสียเลย


"อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีปัญหาแบบที่ทำให้ตัวเองเละเทะ เสียหายแต่ก็มีปัญหาทางจิตอยู่บ้าง วิเคราะห์ด้วยตัวเองว่าคงมีปัญหา เพราะเคยเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรง ขาดสติไปบ้าง สามารถขว้างวิทยุเป็นเครื่อง ๆ สมัยเรียนมัธยมแล้ว แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว ไม่มีอารมณ์โกรธแบบนั้นแล้ว"


 


"เป็นคนขาดความอบอุ่น ที่ไม่ถึงกับมีปัญหามากเพราะมีหนังสืออ่าน อยู่คนเดียวได้ด้วยการอ่านหนังสือ และอยู่กับผนังห้อง ขอให้มีผนังห้องเถอะ จะนั่งพิงผนังห้องอยู่คนเดียว ชอบอยู่ในที่แคบ ๆ"


 


เธอสนใจดูไพ่ยิบซีก็เพราะอ่านหนังสือ มีเพื่อนคนหนึ่งทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์ เขาพิมพ์หนังสือไพ่ยิบซี เพื่อนเอามาให้อ่าน เขาให้ไพ่มาด้วย  อ่านแล้วก็ลองทายดู  มันสนุกดีตีความได้เยอะ แต่ไม่ได้ดูเป็นเรื่องเป็นราว  ส่วนใหญ่จะดูให้เพื่อน ๆ ช่วงทำงานในกองบรรณาธิการหนังสือ ดูให้เพื่อนไปทั่ว ต่อมาเริ่มรับเงินค่าดูแล้ว ใครจะให้ดูก็จ่ายเงินเท่าอายุ


 


ต่อมาหนังสือที่ทำก็ปิดตัวลงอีก จึงออกไปหาความรู้เพิ่มเติมออกไปเรียนพลังจิตที่นิวซีแลนด์  ชื่อพลังจิตบำบัดโรคและพิชิตความสำเร็จ


 


กลับมาจากเมืองนอกก็ไปเที่ยวอยู่พักหนึ่งแล้วจึงทำงานสำนักพิมพ์เป็นบรรณาธิการอยู่ 2 ปี คิดจะไปเรียน จิตวิทยาการให้คำปรึกษาด้วยไพ่  ไปเรียนไพ่เพิ่มเติมที่อิตาลี ก็ลาออกจากงานไปเรียน เพราะคงไม่มีใครให้หยุดงานนาน ๆ  แต่พอกลับก็ได้ไปทำงานสำนักพิมพ์เดิมอีก แต่ไม่นานก็อยากไปเรียนหินบำบัด ที่แรกอยากไปเรียนตัวเลขก่อน นับเบอร์โลโลจีที่ออสเตรเลีย พอดีมีหลานเรียนโรงเรียนประจำอยู่ที่นั่นตั้งใจจะไปเยี่ยมหลานด้วย ก็เลยได้เรียนจิตวิทยาการให้คำปรึกษาด้วยไพ่ และเรียนหินบำบัด


 


กลับมาทำงานสำนักพิมพ์อีกครั้ง ทำได้ปีหนึ่งคิดว่าจะไม่ทำแล้ว และเป็นช่วงไอเอ็มเอฟด้วย  หยุดอยู่บ้านเฉย ๆ ดูหมอ จะได้ไม่เครียดมากนัก ไม่ต้องออกจากบ้านเกือบทุกวัน ไม่ต้องแย่งพื้นที่กับใคร 


 


ในช่วงไอเอ็มเอฟ มีปัญหาเหมือนคนอื่น คือช่วงนั้นย้ายออกมาจากบ้านคุณอา ซื้อคอนโดมิเนียมอยู่ด้วยตัวเอง ก็ต้องผ่อนและธนาคารที่ผ่อนอยู่ปิดกิจการไป ก็ยุ่งยาก ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์


 


แต่ไม่นานพบว่าเป็นเรื่องดี เพราะในช่วงนั้นหนังสือต่าง ๆ  เขาปรับปรุงไปตามยุค มีการปรับคอลัมน์ต่าง ๆ ออก พวกเรื่องสั้น บทกวี บทความบางอย่างเอาออก แต่เพิ่มคอลัมน์หมอดูลงไปเล่มที่ไม่มีก็มีคอลัมน์หมอดูเกือบทุกเล่ม ก็เลยมีงานพวกนี้เข้ามาติดต่อให้เขียนเรื่องดวงชะตา เรื่องหินบำบัด เรื่องสี  เรื่องอาหารเสริมดวงชะตาเสริมสร้างชีวิต


             


งานของเธอวันนี้คือ


เธอต้องฟังเขาพูดและต้องพูดกับเขา ทุกคนที่เดินเข้ามา เขาอยากพูด อยากเล่า และอยากฟัง ส่วนใหญ่เขาก็รู้แล้วว่าเขาจะทำอย่างไร แต่เขาต้องการคนยืนยัน


 


เธอแค่ให้คำปรึกษาในส่วนที่พวกเขาคิด และฟังในเรื่องที่เขาไม่กล้าพูดกับใคร เธอให้เขาไว้วางใจว่า เธอเป็นเพื่อนเขา ยืนอยู่ใกล้ ๆ เขา 


 


สิ่งหนึ่งที่เธอไม่ลืมก็คือว่า บอกพวกเขาว่า ต้องระมัดระวังสักหน่อยแล้วจะดีขึ้น เมื่อถามว่าพวกเดินเข้ามาหาเธอส่วนมากเป็นผู้หญิงหรือชาย  เธอว่า 90 % เป็นผู้หญิง และ 80 % เป็นปัญหาครอบครัว ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว สามีมีเมียน้อย ถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้ายจิตใจ หย่าร้าง


 


ส่วนพวกสาวโสดก็คือมีปัญหาเรื่องว่าอยากมีคู่ คบใครแล้วเลิกทุกราย การงานและสุขภาพรองลงมา  ปรึกษาแล้วจะดีขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะกลับมาอีกและชักชวนคนอื่นมาด้วย  ระยะหลัง ๆ เธอเป็นคนสาธารณะมากขึ้น มีคนรู้จักมากขึ้น ออกทีวีหลายครั้งในรายการต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องพลังจากหินและการบำบัด


 


ในช่วงวัยสามสิบต้น ๆ  ดูเธอเป็นผู้ใหญ่  มีความมั่นใจในตัวเอง ความเมตตาต่อผู้อื่น เมื่อถามว่า เธอเป็นประเภทหยั่งรู้ มีอำนาจประหลาดอะไรไหม เธอตอบอย่างไม่ลังเลว่า ไม่มีหรอก  แค่บุคลิกของเธอก็สร้างสีสันให้กับผู้อยู่ใกล้ ๆ เธอได้ แบบสนุกสนาน นั่นเพราะเธออยู่ในสังคมที่หลากหลาย ในขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่กับคุณอาผู้ดีเก่า เธอมีแม่เป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ เธอมีเพื่อน ๆ เป็นศิลปิน เป็นนักเขียน และเธอมีสังคมไฮโซ และดูเหมือนเธอจะชอบกับทุก ๆ อย่างไม่ว่าจะไปเดินป่าลงพื้นที่กับกลุ่มหนึ่ง ไปดูป่าชุมชนของชาวบ้านหรือไปล่องเรือสำราญกับไฮโซ


 


การแต่งกายของเธอก็มิอาจจะคาดหมายได้ บางวันจะพบเธอด้วยสีสันที่สุดแสบอย่างที่คิดไม่ถึง บางวันเรียบร้อยด้วยผ้าถุง  ถือว่าเธอประสบความสำเร็จพอสมควร ดูจากมีผู้คนมาขอคำปรึกษา มาดูไพ่กับเธอ  หนังสือที่เธอเขียนได้รับความสนใจทุกเล่ม


 


แต่ที่น่าสนใจก็คือว่า…


การประสบความสำเร็จของเธอส่วนหนึ่งเพราะ เธอเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับพวกจิตวิทยาทั้งหลาย  แล้วก็เรื่องของการบำบัดทางเลือก ในการบำบัดเยียวยาจิตวิญญาณ เรียนการบำบัดการให้คำปรึกษาและอื่น ๆ ทั้งอ่านจากหนังสือและเดินทางไป  การศึกษาเรียนรู้ ทุก ๆ ปีเธอใช้เวลาสำหรับเดินทางไปในที่ต่าง ๆ เพื่อการเรียนรู้


 


ใช่แล้ว …เธอผู้ยืนอยู่บนความมั่นคงท่ามกลางความไม่มั่นคงของคนอื่น