Skip to main content

เกาะนุ้ย แม่ย่านางเรือในห้วงฝัน

คอลัมน์/ชุมชน

มันเป็นเกาะที่เล็กแสนเล็ก  หากคลื่นยักษ์พัดโถมเข้ามาเต็มๆ ทุกอย่างคงพินาศ


วันนี้..ที่นั่นอาจเหลือเพียงซาก 


"ฉันจะไม่พาคุณไปหรอกนะ แต่จะเล่าให้ฟัง" ...เธอว่า


 


เมื่อหลายปีก่อน...


 


"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย"


น้ำเสียงยะเยือกเย็นราวล่องลอยมากับเมฆฝนอันไกลโพ้น แล้วค่อยๆชัดเจนที่ริมหู ผสานกับอีกเสียงหนึ่งที่ย่ำเท้าเบาๆมาทางประตู เหลือบเห็นเงาทะมึน โครงร่างสูงใหญ่ ฉันรู้สึกได้ทันทีถึงแววมุ่งร้าย


 


"ช่วยด้วย ช่วยปล่อยฉันไปที"


เสียงนั้นยิ่งดัง ฉันยิ่งรู้สึกอึดอัดดิ้นรน อยากวิ่งหนีไปให้พ้นสภาวะที่น่าสะพรึงกลัวนี้ แต่ทำไม่ได้ เสียงผู้หญิงแจ่มชัดขึ้น พร้อมๆกับภาพของเธอ หญิงวัยสาวเต็มวัย นั่งก้มหน้าร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน เครื่องแต่งกายสีขาวคล้ายนักบวชหญิง เพียงแต่เธอมีผมดำขลับยาวสลวยเคลียไหล่ ผิวขาวนวลจนน่าแปลกใจว่าเธอคือใครกัน จึงได้มาคร่ำครวญอยู่ที่นี่


 


ร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมสีดำยาวค่อยเคลื่อนๆเข้ามา  ผู้หญิงปริศนาคนนั้นยิ่งสะอื้น งอตัวกอดเข่าท่าทีหวาดกลัวสุดขีด ขณะที่ฉันนอนเหยียดยาว มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้หวาดหวั่นแต่ขยับเขยื้อนไม่ได้ ด้วยความตกใจกลัว ฉันจึงพยายามตะเบ็งเสียงร้องให้สุดเสียง เพื่อให้คนอื่นๆที่อยู่ชั้นล่างขึ้นมาดู


"ช่วยด้วย.....ช่วยที" และแล้วเสียงก็ระเบิดออกจากลำคอ ความอึดอัดราวกับจะขาดใจตาย หายเป็นปลิดทิ้ง ได้ยินเสียงตัวเองร้องคราง จึงรู้ว่าฝันร้าย


 


"เป็นอะไรไปคุณ" เสียงตะโกนถามมาจากข้างล่าง พร้อมเสียงวิ่งตึงตังขึ้นมาหา ฉันระล่ำระลักบอกพวกเขา


"ฉันฝันไป แต่เหมือนจริงเหลือเกิน ไม่รู้ทำไม มีอะไรที่นี่หรือเปล่าคะ" ฉันเอะใจจึงฉายไฟส่องดู พบว่าข้างๆที่นอน มีท่อนไม้ยาวๆท่อนหนึ่งวางอยู่ เมื่อตอนกลางวันก็เห็นแล้วแต่ไม่ได้สังเกตให้ถี่ถ้วน


"นี่มันชิ้นส่วนหัวเรือนี่นา ใครเอามาไว้บนนี้น่ะ" ฉันรู้ทันทีว่าเป็นหัวเรือเพราะแถวๆนี้ รูปร่างเรือส่วนหัวจะใช้ไม้เนื้อแข็งตกแต่งให้โค้งงอน และมักจะเป็นไม้ตะเคียน เรียกเรือชนิดนี้ว่า "เรือหัวโทง"


"ผมเอง เห็นไม้มันสวยดี เจอตรงชายหาดเลยเก็บขึ้นมา" เพื่อนร่วมทางบอก


โธ่.....มิน่าเล่า ใจหนอใจ ขวัญหนอขวัญ กลับมาเถิดนะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทรมานเหลือเกิน น่ากลัวจับจิตจับใจ


"เอาไปไว้ในน้ำเถิดนะคะ ไม่งั้นฉันคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่" ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร รู้แต่ว่าไม่สามารถทนทานกับฝันร้ายได้อีกหากมันจะเกิดขึ้น


"ผมเห็นด้วยนะครับ ของแบบนี้ไม่ควรเก็บเอามาไว้ในบ้าน ไม่ใช่ของๆเรา" ชายหนุ่มจากหมู่บ้านใกล้ๆ ที่พายเรือมาส่งเรา แล้วถือโอกาสนอนค้างที่นี่ด้วย หลังจากนำเสบียงมาให้เมื่อตอนเย็น


 


เกาะนุ้ย เป็นพื้นที่เล็กๆแค่ประมาณยี่สิบกว่าไร่ บนนั้นยังสมบูรณ์ไปด้วยไม้ป่า มีต้นยางพารา ต้นมะพร้าวแซมอยู่บ้าง เป็นที่อาศัยของฝูงลิงแสม และนกนานาชนิด รวมทั้งปูเสฉวนตัวโตๆ ที่สำคัญฤดูฝนมีน้ำตกให้ใช้เหลือเฟือ


 


ทั้งเกาะมีกระท่อมเล็กๆ หลังเดียว ที่สร้างไว้นานแล้ว และเริ่มผุพัง


 


เราทั้งหมดสี่คนแวะมาดูว่ามันจะยังพอเป็นที่อาศัยได้หรือไม่ บางทีฉันอาจปักหลักทำงานที่ฉันรักสักระยะ เพราะที่นี่มีต้นไม้พันธุ์ไม้ หลายชนิดให้ทดลองย้อมผ้าได้ ทั้งน้ำจืดก็ไม่ขาดแคลน แม้ว่าจะไม่ไกลจากชายฝั่ง แต่การเดินทางไปมาไม่สะดวก ขออาศัยเรือชาวบ้านมารับส่ง เกรงใจเขาอยู่พอควร เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่เสียให้คุ้ม


 


คนที่มาด้วยกันอีกสามคน หนึ่งคนออกตัวมาแล้วว่า ถ้าคุณจะอยู่ คุณอยู่คนเดียวแล้วกัน ผมคงไม่สามารถอยู่ได้ มีงานต้องทำ เหตุผลพอทนฟัง แต่นั่นก็เป็นที่พอใจเพราะฉันไม่ได้ต้องการเพื่อนร่วมบ้าน ส่วนอีกสองหนุ่ม เป็นแค่คนรู้จักผิวเผิน พวกเขามาจากต่างแดน ทีแรกว่าจะมาปักหลักอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่มาเห็นแล้วคงเปลี่ยนใจทันทีเพราะไม่มีสาวๆสวยๆให้ชื่นชมสักคน อีกหนึ่งคน ต้องกลับไปทำงานในบาร์ของเพื่อนคนไทยที่อ่าวนาง บอกว่าอาจแวะมาเยี่ยมเป็นระยะ มาหรือไม่มาไม่เป็นไร เพราะเมื่อตั้งใจย่อมไม่เปลี่ยนใจ วันรุ่งขึ้นพวกเขาจึงกลับไป พร้อมอวยพรขอให้ฉันทำงานให้ได้ตามที่หวัง ส่วนหนุ่มไทยคนนั้นสัญญาว่าจะแวะมาเยี่ยม เมื่อคำนวณดูแล้วว่าเสบียงจำเป็นน่าจะร่อยหรอ เพราะเขาเองก็ไม่ได้ไปไหนไกลกว่าเมืองกระบี่


 


กระท่อมสองชั้น ชั้นบนมีหน้าต่างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ยามเย็นฉันมานั่งพับเพียบยิ้มแย้มกับพระอาทิตย์อย่างสุขใจ จนกระทั่งลำแสงสุดท้ายค่อยๆลาลับ สิ่งที่มาเยือนต่อมาคือเพื่อนยุง ยุงนับล้านๆตัวมาเห่กล่อม ทำเสียงชวนรำคาญ จนต้องลงมานั่งที่ชั้นล่าง สุมฟืนให้ควันโขมงจึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข แสงไฟไม่สว่างพอที่จะทำอะไรได้นอกจากนอนเขลงอยู่บนเปลยวน ฟังเสียงลิงเสียงนกเค้าแมวครางครวญ เสียงน้ำกระซิบหาดทราย จนง่วงนอน


 


หากไม่หลับอยู่บนเปลเสียก่อน ดึกๆจึงปีนกลับขึ้นไปนอนตรงที่เคยฝันร้าย สวดมนต์นั่งสมาธิแผ่เมตาตาแก่สรรพสัตว์ แล้วล้มตัวลงหลับตา


 


คืนต่อมา…


ฉันฝันเห็นเรือลำน้อยสีทองสุกปลั่งล่องลอยอยู่ในดินแดนแห่งแสงอรุณรุ่ง


แว่วเสียงหญิงสาวคนนั้น หัวเราะร่าเริงแจ่มใสดุจระฆังแก้ว พร้อมกลิ่นหอมละมุนของไม้หอมซึมซ่านลอยผ่านมา


 


ภาพฝันเริ่มแปรเปลี่ยน ในท้องทะเลกว้างใหญ่มีภูเขาผุดพรายขึ้นมามากมายราวสวรรค์สรรค์สร้าง ภาพนั้น


ถ่ายทอดเรื่องราวฉายชัดเหมือนจริง


ปรากฏร่างชายชรากับหนุ่มฉกรรจ์ รู้ทันทีว่าทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นพญานาค  ชายหนุ่มผู้เป็นหลานทวด ชื่อโต๊ะร่าปู ได้แปลงร่างเป็นคนแล้วท่องเที่ยวไป จนถึงเกาะลันตา ได้พบกับหญิงงาม คือ แม่ย่านาง  พญานาคหนุ่ม ตกหลุมรักเธอในทันที จึงรีบกลับมาบอกผู้เฒ่าว่า อยากให้ไปสู่ขอนางมาเป็นเมีย
โต๊ะทวดจึงออกไปเที่ยวสอบถามได้ความว่า แม่ย่านางเป็นลูกสาวโต๊ะหัวหิน และเป็นหลานโต๊ะนาค


จึงได้นำขันหมากไปสู่ขอเธอ แต่โต๊ะนาครังเกียจกีดกัน ท้าทายว่า
"ใครที่มาขอหลานสาวฉัน ต้องแสดงฤทธิ์ให้ได้เหมือนฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ยกให้"


โต๊ะทวดไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่โต๊ะนาคกล่าวเหมือนดูถูกหลานชายตน จึงบอกไปว่า


"ขอให้บอกมาว่าจะให้ทำอะไร หลานชายคนนี้ของข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง"


"ถ้าเช่นนั้นให้ทำตามข้าก็แล้วกัน" ว่าแล้วโต๊ะนาค ก็สำแดงตัวเป็นพญานาคใหญ่มี 7 หัว 7 หาง พญานาคหนุ่มทำบ้างแต่ได้แค่ 7 หัวเท่านั้น


โต๊ะนาคหัวเราะเยาะ พลางกวาดเครื่องขันหมากทิ้งลงทะเลจนหมด


ขันหมากเหล่านั้นกลายเป็นเกาะแก่งในอันดามันนั่นเอง


ทิ้งความคั่งแค้นพยาบาทให้แก่พญานาคหนุ่ม นับแต่นั้นมา


 


.........


 


"ฉันคงอ่านนิยายปรัมปรามากไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันมันชัดเจนเหลือเกิน แต่ละฉากแต่ละบทราวกับกำลังดูหนังฉายในโรง ฉันจึงคิดว่าถ้าคุณไปที่เกาะนุ้ยก็คงเปล่าประโยชน์ เพราะที่นั่นไม่มีอะไรให้คุณดู นอกจากคุณจะทดลองไปนอนหลับฝัน"


เธอจ้องลึกลงในดวงตาของคุณ อย่างอยากจะหยั่งให้รู้ว่าคุณคิดอะไรกับเรื่องเล่านี้ คุณหัวเราะกลบเกลื่อน แน่นอน... เพราะมันก็แค่ความฝัน ใครจะเชื่อ


"ใช่ มันก็แค่ความฝัน แต่เราก็เจอเหตุการณ์ ที่ยิ่งกว่าความฝันเสียอีก ก็สึนามินั่นไง แม้สาเหตุมาจากแผ่นดินไหวก็ตามที"


 


"แต่คุณไม่คิดบ้างหรือว่า ตำนานอาจซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เพราะความเคียดแค้นชิงชัง ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อสะสมมากขึ้นมันอาจกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้ธรรมชาติแปรปรวน"


 


"การเข่นฆ่ากันก็แค่ทำลายชีวิต แต่กลับโหมเชื้อไฟแห่งศรัทธาให้ลุกลามเผาไหม้มากขึ้น"


"ตำนานจึงไม่เคยสิ้นสุด ด้วยเหตุแห่งรักและชัง เช่นนี้เอง"