Skip to main content

ถนนสายเก่า กับทางสายใหม่

คอลัมน์/ชุมชน

1


 


บนทางสายเก่า...


เราต่างสัญจรไปบนถนนของความเปลี่ยน


ดวงตาผู้คนช่างแล้งแห้ง มิรู้รับสัมผัสใดใดทั้งสิ้น


กลางเมืองฝุ่นละอองความเลวร้ายปลิวฟุ้งไปทั่ว


ทุกชีวิตล้วนเร่าร้อน รีบเร่ง ดิ้นรนเพียงเพื่อตัวเอง


ให้อยู่รอดในสังคมอันหม่นหมอง  หมักหมม


หมกมุ่นวิถีสำราญจากกองขยะมายา


พลัดหลงไปในเกียรติ  กาม และหายนะ


แสวงหาความรุ่งโรจน์บนความตกต่ำของผู้ด้อย


กี่ชีวิตที่เดินบนถนนทอดยาวไกลเพื่อพบกับทางแยก


ทว่ามิรู้หนรู้แห่ง ว่าจักก้าวย่างไปเส้นทางใด


ไม่มีใครบอกใคร  ชี้ทางใคร


เพียงจำต้องเลือกเสี่ยงสู้ในชะตากรรมของตน


อดีตนั้นเดินทางมาไกลเกินจักหวน


ปัจจุบันคือความเปล่าร้าง


อนาคตนั้นยากเกินกว่าจะไปถึง


ปลายทาง, สว่างหรือมืดมน


สับสนก่นทุกข์ หรือสุขสงบสดใส


ไม่มีใครล่วงรู้…


 


 


2


 


บนทางสายใหม่...


เป็นทางสายที่หลายคนอาจมองข้ามผ่าน


ผ่านมา แล้วผ่านไป…


ทางที่ทอดยาวไปสู่ธรรมชาติและจิตวิญญาณ


แวดล้อมด้วยทุ่งนา ป่าเขา และสายน้ำ


ที่นั่น อากาศโปร่ง ลำธารใส แดดส่องฉาย


ชีวิตบริสุทธิ์ เรียบง่ายสามัญซุกซ่อนอยู่ตรงนั้น


หญ้าผลิงอก ดอกไม้ผลิบาน พืชผักผลิบาน หัวใจผลิบาน


นกหนู งู แมลง ออกหากินอยู่ทุกเช้าค่ำ


ผู้คนนั้นเล่า...ยิ้มแย้ม เบิกบาน เบ่งบาน


ทำงานทำสวน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความดีงาม


ปลูกต้นไม้ ปลูกดอกไม้ให้จิตวิญญาณ


เหมือนกับจะล่วงรู้ชัดแจ้งในชีวิต...


ว่าจริงๆ แล้ว คนเราไม่ได้ต้องการอะไรมาก


มีกระท่อมไว้นอน มีหมอนไม้ไว้หนุน


มีบุญไว้ทำ มีกรรมไว้แต่ง


เพียงเท่านั้น เพียงเท่านั้นจริงๆ


ชีวิต...อยู่ด้วยความรู้เท่าทันก่อนจากไป


ใช่สิ...ไม่นาน


เราต่างต้องแยกย้ายกันจากไป.


 


...ไม่นาน


เราต่างต้องแยกย้ายกันจากไป.


 


 


** บทกวีชิ้นนี้ใช้อ่านในงาน "คืนสู่ธรรมชาติ ทั้งกายและจิตวิญญาณ"


ณ ร้านโขงสาละวิน อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อคืนวันที่ 3 ก.พ.2550