Skip to main content

ถ้าเธอจากฉันไป

คอลัมน์/ชุมชน

IF YOU LEAVE ME NOW  by Chicago


 


If you leave me now


You’ll take away the biggest part of me


Oo, oo, oo, no, baby, please don’t go


And if you leave me now


You’ll take away the very heart of me


Oo, oo, oo, no, baby, please don’t go


Oo, oo, oo, girl, I just want you to stay


 


A love like ours is love that’s hard to find


How could we let it slip away ?


We’ve come too far to leave it all behind


How could we end it all this way ?


When tomorrow comes and we both regret


The things we said today


 


A love like ours is love that’s hard to find


How could we let it slip away ?


We’ve come too far to leave it all behind


How could we end it all this way ?


When tomorrow comes and we both regret


The things we said today


 


If you leave me now


You’ll take away the biggest part of me


Oo, oo, oo, no, baby, please don’t go


Oo, oo, girl, I’ve just got to have you by my side


Oo, oo, oo, no, baby, please don’t go


Oo, ah, ah, I’ve just got to have you, girl


           


(เนื้อเพลงจาก http://www.romantic-lyrics.com/li9.shtml  และ สามารถดูมิวสิควิดีโอได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=Y0TEa-Aa4sU )


 


ช่วงนี้ได้ยินข่าวเรื่องการทำร้ายกันและกันเพราะว่าการตีจากกันหลังจากที่คบหากันมานาน  คู่แรกคือหญิงชายวัยรุ่นที่เป็นนักศึกษา ฝ่ายหญิงโดนฝ่ายชายยิงตาย คู่ต่อมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็บีบคอเมียจนตายแล้วนอนกอดศพเมียหนึ่งคืน คู่ล่าสุดวันนี้ (3 ก.พ. 2550) เมียสาดน้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์เป็นกรดใส่ฝ่ายชาย หลังจากที่อยู่กินกันมากว่า 12 ปีและมีการทุ่มเทให้จากฝ่ายหญิง จนฝ่ายชายบอกว่ามีคนใหม่และขอเลิก เล่นเอาฝ่ายชายอาจตาบอดเพราะฤทธิ์กรดดังกล่าว


 


อย่างไรก็ตาม ดีที่ไม่มีคู่เกย์เลย อันนี้เลยบอกว่าเกย์ได้กลายเป็นเหยื่อสื่อมวลชนมานานว่ามี "รักรุนแรง" คราวนี้รักต่างเพศเป็นข่าวเสียบ้าง จะได้รู้ว่า อย่ามาอคติกับรักเพศเดียวกัน


 


ผู้เขียนมีความเข้าใจทุกฝ่าย การเลิกรามีฤทธิ์เดชมาก ถ้าไม่เคยเจอจะไม่มีวันรู้ หลายคนโชคดีที่ไม่เจอ แต่หลายคนก็โชคร้ายที่ต้องเจอ  สมัยที่ผู้เขียนเด็กๆ ไปแอบรักแอบชอบคนบางคน แต่เค้าไม่เอาด้วย หรือ ได้มีการสร้างสัมพันธ์กันแล้ว แต่ก็ต้องโดนบอกเลิก เจ็บปวดไปมากต่อมาก จนโตขึ้นจึงมองเห็นว่าการจะอยู่ด้วยกันแล้วเลิกกันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นรักเพศเดียวกันหรือรักต่างเพศ จนวันนี้ ผู้เขียนจะเป็นฝ่ายขอเลิกก่อนมากกว่าที่จะโดนขอเลิกเพราะว่าเข้าใจตนเองดีในแต่ละความสัมพันธ์ หากคิดว่าคงไปไม่รอด รีบบอกก่อนที่จะไปไกลกว่านั้น แต่คนหลายคนไม่รู้ว่าจะเอาไงดี หรือคิดว่าคบเพื่อเอาประโยชน์ จึงลงเอยแบบนี้


 


เพลงที่เอามาประกอบในการนี้ เป็นเพลงเก่าขุดกรุ ตั้งแต่ราว 1976 ก็กว่า 30 ปีมาแล้ว ผู้เขียนฟังมาตั้งแต่เด็กๆ จนแก่แล้ว ก็ยังพอมีคนฟังบ้าง ฟังตั้งแต่ไม่รู้ความจนรู้ความ เนื้อเพลงนี้ก็โหยหวนคร่ำครวญปริ่มใจจะขาด ไม่ยอมให้คนรักจากไป ทั้งที่ความจริงแล้ว คนที่ทำแบบนี้ต่างหากคือคนที่เห็นแก่ตัว คือรักตัวเอง ห่วงตนเอง ต้องการให้อีกฝ่ายมาทนอยู่กับตนเอง โดยที่ไม่สมัครใจ เต็มใจ


 


ฝรั่งบอกว่า "If you love someone, then set them free. If they come back again, then in the end


it was meant to be." หมายถึงว่า รักใครก็ต้องปล่อยเค้าเป็นอิสระ ถ้าเค้ากลับมา(หรือไม่กลับมาเลย) ในเวลาต่อมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องจะต้องเป็น เลี่ยงไม่ได้


 


ในเรื่องของความสัมพันธ์แบบคู่ชีวิตของมนุษย์ ไม่มีสูตรสมบูรณ์แบบ ในด้านนิเทศศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ มองว่า ในแต่ละคู่มีปฏิสัมพันธ์ในแบบของตนเอง แต่ละคู่ไม่เหมือนกัน เป็นการสร้างวัฒนธรรมของคนสองคนที่ใช้ร่วมกัน และในการมีปฏิสัมพันธ์ดังกล่าว ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติเพราะถือว่าเป็นการหาสมดุลยภาพระหว่างความต่างของคนสองคน น่าเสียดายที่คนทั่วไป ไม่ว่าฝรั่งหรือไทยไปยึดมั่นกับความรักแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่จบลงด้วยความหวานหอมหรือรักอมตะที่ยอมตายเพื่อคนรัก เช่น สโนว์ไวท์  ไททานิค


 


ที่น่ากลัวกว่านั้นคือในสังคมไทยโดนมอมเมาด้วยละคอนทีวีทั้งวันทั้งคืน ไม่เช่นนั้นก็หนังไทยแบบด้านๆ ทื่อๆ เช่น หนังไทยที่เกี่ยวกับจดหมายกับความรัก ผู้เขียนยังขำไม่หายที่อาจารย์ระดับผู้ใหญ่บางท่านสารภาพมาว่าไปดูแล้วร้องไห้ขี้มูกโป่ง บอกว่าดีๆ กินใจ ชวนให้คนอื่นๆไปดู ไม่งั้นก็ชอบดูหนังแอ๊คชั่น แบบยิงกันตายเป็นฝูง (อันนี้น่าจะมาช่วยกทม. ตอนบึ้มสนั่นกรุง)


 


ความพอดีหาไม่มี หรือเพราะว่าละครหรือหนังต้องทำให้เป็นแบบนี้ แม้จะเป็นหนังที่เลียนแบบรีอัลลิตี้โชว์ ก็ขาดความเป็น "ดราม่า" ไม่ได้ อย่างหนังเด็กนักเรียนที่กำลังเข้าโรงตอนนี้ ก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมต้องเป็นโรงเรียนเลิศนั้น ไม่ใช่โรงเรียนบ้านนอกๆ นั่นคงเป็นเพราะไม่มีสีสันจะให้ดูแบบชนชั้นกลางที่มีโอกาสเรียนในโรงเรียนเลิศนั้น มีการแข่งขัน มีดราม่า แต่เด็กพวกนี้ไม่ได้ "รีพรีเซ้นต์" นักเรียนไทยทั้งหมด เด็กพวกนี้มีสีสันกว่า เหมาะกับการทำหนัง


 


ในทฤษฎีเดิมๆ ทางสื่อสารมวลชนบอกถึงอิทธิพลของสื่อมวลชนในการสร้างวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิต อันนี้ไปสอดคล้องกับทฤษฎีสร้างสัมพันธภาพของการสื่อสารระหว่างบุคคล ที่ว่า มนุษย์เรียนรู้ในการสร้างความสัมพันธ์ผ่านกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ส่วนหนึ่งในกระบวนการกล่อมเกลานี่ก็คือสื่อมวลชนนั้นเอง ดังนั้น ถ้าสื่อมวลชนยังคงใส่ภาพสีสันสุดสวยจัดจ้านแบบนี้ คนหลายคน (ไม่ใช่ทุกคน) ก็จะแยกไม่ได้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม และเหมาไปว่าความรักมีสูตรแบบนี้ ถ้าสำเร็จก็ดี ไม่สำเร็จก็น่าจะชิบหายกันไปข้างหนึ่ง


 


ทุกวันนี้ผู้เขียนเลิกอ่านนิยายไปนานแล้ว ไม่ได้หมายถึงว่านิยายไม่ดี แต่ไม่มีเวลาอ่าน ผู้เขียนดูละคอนทีวีไว้สอนหนังสือ ไว้เอามาเม้าท์ให้เด็กฟัง เพื่อไม่ให้เด็กเบื่อ เอามาบอกว่าอันนี้อย่าไปหลงเชื่อ ดูโฆษณาอย่าง คู่ที่มีโรคแล้วฝ่ายหญิงต้องตายเพราะโรคนั้น แล้วก็คนติดกันงอมแงม หลังจากที่มีโฆษณาพ่อคิดจะตบลูก แล้วไม่ตบกลับให้อภัยที่ไปท้องไม่มีพ่อมา ไม่งั้นก็มีลักษณะทำดีเพื่อขายประกัน เป็นมดเป็นแมลงที่น่ารังเกียจแต่ทำความดี ดังนั้น เดี๋ยวนี้โฆษณาก็ใช้รูปแบบการนำเสนอแบบ "ดราม่า" สารพัด เพื่อสร้างอารมณ์กระตุ้นให้จำตราสินค้า เพราะสินค้าตรงนั้นไม่มีอะไรนอกจากกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งอาจไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าบังเอิญต้องใช้ขึ้นมา


 


สังคมไทยนี่ตามฝรั่งมาติดๆ เรื่องดราม่านี่เราไม่แพ้กัน เรื่องนี้นักวิชาการต้องออกมากันมากๆ มาบอกว่ารูปแบบการสื่อสารสาธารณะที่นับวันเป็นดราม่ากันทุกขั้นตอน เป็นเทวนิยาย เป็นนิยายพื้นบ้าน เป็นเพลงยอดนิยม เป็นละครทีวี ภาพยนตร์ คนไทยไม่ได้ระวังตัวและไหลเสียจนเลยเถิดไปมาก


 


ก่อนจบ จำได้ว่ามีผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งได้ตำแหน่งสำคัญให้สัมภาษณ์ว่า งานอดิเรกคือดูละคอนน้ำเน่า บอกว่าดูแล้วหลุดโลกดี โลกที่ทำงานมันเครียด ดีที่ว่าท่านมีความคิดที่จะแยกแยะ แต่น่าเสียดายที่ว่าหลายคนไม่สามารถแยกแยะได้ อันนี้คนฟังคงต้องระวัง เพราะหลายคนไหลไปและจะอ้างคำสัมภาษณ์ของผู้ใหญ่ท่านนี้ ทำให้เกิดอาการ "อิน" กับดราม่า อย่างน่าสังเวช


 


แม้ว่าวันนี้จะมีการตั้งเรทให้กับรายการทีวีไทย จริงๆ น่าจะมีป้ายบอกหรือตัววิ่งใต้ละคอนหรือรายการอะไรก็ตามว่า การเสพละครหรือรายการทีวีอาจเป็นภัยต่อเชาวน์ปัญญาและสุขภาพจิต เหมือนกับที่ผู้ใหญ่หลายคนจงเกลียดจงชังเหล้าและบุหรี่ และหาทางกำจัดทุกวิถีทาง เพราะจริงๆ แล้วพวกดราม่าต่างๆ นี่แหละ ร้ายแรงมหันต์เช่นกัน


 


ดังนั้น ถ้า ดราม่าพวกนี้จะจากไป ผู้เขียนจะบอกเลยไปแล้วไปเลย ไม่ต้องกลับมา ชู้วๆ