Skip to main content

เรื่องปกติ ??

คอลัมน์/ชุมชน

บ่อยครั้งเลยทีเดียวที่หญิงรักหญิงอย่างผู้เขียนบอกกับใครต่อใครว่า เราไม่ต่างจากคนอื่น ๆ สักหน่อย เรามีชีวิตแบบที่คนทั่วไปมี ไปทำงาน กลับมาบ้าน คุยโทรศัพท์กับแฟน อ่านหนังสือ กินข้าว ไปเดินห้าง ฯลฯ ทำกิจกรรมต่าง ๆ เฉกเช่นที่คนทั่ว ๆ ไป เขาทำกัน


แต่ หลายครั้งหญิงรักหญิง ( และชายรักชาย) ก็เจอเหตุการณ์ที่คนส่วนใหญ่อาจไม่ได้เจอ หรือต้องประสบพบพานสักเท่าไรนัก


วานก่อนโน้น เพื่อนของผู้เขียนมาเล่าให้ฟังว่าเธอไปต่างจังหวัดเนื่องในงานขอบคุณลูกค้าที่บริษัทแห่งหนึ่งจัดขึ้น เพื่อแสดงความขอบคุณกับบริษัทของเธอและบริษัทอื่น ๆ ที่เป็นคู่ค้ากัน


ในงานนั้นเอง ที่เธอได้พบกับเพื่อนรุ่นพี่หญิงรักหญิงคนหนึ่ง ที่มีความสนิทสนมกันมากเวลาอยู่ในกลุ่มหญิงรักหญิง เคยทานข้าว พูดคุยสนทนาพาที และช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา โดยเฉพาะในยามที่เธอมีปัญหากับแฟน ( ผู้หญิง) ของเธอ แล้วไม่สามารถพูดคุยปรับทุกข์กับพี่น้อง พ่อแม่ในบ้านได้ ก็มีพี่ ( หญิงรักหญิง) คนนี้ล่ะคอยรับฟัง ช่วยแก้ปัญหา


ความสนิทสนมจึงนับว่ามากกว่าเพื่อนในที่ทำงานของเธอ และคงมากกว่าคนอื่น ๆ ที่ไปในงานนั้น


แต่ว่าในงานนี้ล่ะ ที่เธอผู้นี้ไม่สามารถที่จะพูดคุย ทักทายประสาเพื่อนกับรุ่นพี่ของเธอได้ ไม่สามารถเรียกชื่อรุ่นพี่เช่นที่เธอใช้เรียกเป็นประจำเวลาพบกันในงานของกลุ่มหญิงรักหญิง


เธอต้องระมัดระวังที่จะไม่แสดงความสนิทสนมมากไปกว่าบทบาท " ตัวแทน" บริษัทที่ต้องไปร่วมงาน ด้วยเกรงว่าคนอื่น ๆ ที่ไปในงานจะสงสัยในความสนิทสนมนั้นว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เกรงว่าใคร ๆ จะรู้ว่าเพื่อนรุ่นพี่ที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรนั้นเป็นหญิงรักหญิง


นั่งเครื่องฯ กลับมาถึงดอนเมืองนั่นแหละ หลังจากที่ต่างคนต่างได้กระเป๋า ก็แยกย้ายกันขึ้นรถส่วนตัว และรถรับจ้าง เตรียมจะกลับบ้านใครบ้านมัน


เพื่อนรุ่นพี่มีแฟนมารับ แต่เธอต้องรอรถแท็กซี่ กว่าจะออกจากสนามบินมาได้จึงใช้เวลาอยู่พอสมควร แล้วหลังจากนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น


เป็นเบอร์โทรของรุ่นพี่นั่นเอง ที่โทรเข้ามาบอกว่า เธอนั่งอยู่ในร้านอาหารใกล้ ๆ สนามบินนั่นล่ะ มากินข้าวด้วยกันเถอะ เธอกับแฟนรออยู่


แล้วความสนิทสนมคุ้นเคยกลมเกลียวสามัคคีสมานฉันท์ก็กลับคืนมาหลังจากนั้น


ตอนฟังเธอเล่าก็ขำ ๆ อยู่ไม่น้อย แต่เอาไปเอามาก็เริ่มขำไม่ค่อยออกสักเท่าไร เหตุการณ์เช่นนี้ ผู้เขียนคิดว่าคนที่ไม่ใช่หญิงรักหญิงคงจะไม่เจอ


ก็คนทั่วไปนั้น ถ้าได้เจอเพื่อน เจอคนรู้จักที่สนิทสนมกัน ส่วนใหญ่ก็จะต้องดีใจ พูดคุยทักทายกันได้อย่างไม่ต้องระมัดระวังอะไรมาก แต่เมื่อเป็นหญิงรักหญิง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นหญิงรักหญิงที่มีใครคนใดคนหนึ่งไม่เปิดเผยตัว การแสดงความสนิทสนมเช่นเวลาอยู่ในกลุ่มหญิงรักหญิงด้วยกัน จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนก็เจอเหตุการณ์คล้าย ๆ กันกับที่เธอเจอมา ผู้เขียนต้องไปติดต่องานกับองค์กรมหาชนแห่งหนึ่ง ก็นั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขกของบริษัทเพื่อให้คนที่ติดต่องานออกมารับให้เข้าไปคุยกันในออฟฟิศของเธอ


รอได้สักพัก ก็มีคนออกมารับ ผู้เขียนดีใจมาก เพราะนั่นคือน้องหญิงรักหญิงคนหนึ่งที่เคยรู้จักสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เคยร่วมงานกัน เคยฟังเธอนั่งร้องไห้เล่าเรื่องคนรักของเธอ เพียงแต่มาห่างหายกันไปในช่วงปีหลัง ๆ เนื่องจากหน้าที่การงานทั้งของผู้เขียน และของตัวน้องผู้นั้นเอง


เมื่อไม่ได้เจอกันนาน ผู้เขียนจึงรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา อารามดีใจทำให้ลืมตัว ผู้เขียนเลยทักทายเธออย่างตื่นเต้นและดีใจ ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน


แต่คำพูดประโยคถัดมาของเธอ ทำให้ความดีใจของผู้เขียนกลายเป็นดอกไม้ที่ก้านหักคอพับคออ่อนลงในบัดดล น้องผู้นั้นหันมาพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบกับผู้เขียนว่า " พี่อย่าบอกใครนะ… ว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน"


เท่านั้นเอง สติของผู้เขียนจึงกลับมา รีบสำรวม กาย วาจา ใจโดยฉับพลัน เดินไปกับเธอเงียบ ๆ ทำราวกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจริง ๆ


และเมื่อไปคุยกับหัวหน้าของเธอ ซึ่งเป็นคนที่ผู้เขียนต้องติดต่องานด้วย โดยมีเธอนั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้เขียนก็ต้องระมัดระวังมากที่จะไม่สนทนาปราศรัยกับเธอด้วยรูปประโยคที่แสดงความคุ้นเคยหรือรู้จักกันมาก่อน ( เพราะผู้เขียนไปติดต่องานที่นั่นในสถานภาพที่เปิดเผยโจ๋งครึ่มมากว่าตัวเองเป็นหญิงรักหญิง แม้ไม่ได้เปิดเผยด้วยการบอกเป็นคำพูด แต่งานที่ทำให้ต้องไปติดต่อคืองานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้นต่อการเป็นหญิงรักหญิง) เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้หัวหน้าเธอเกิดความสงสัยขึ้นมาได้ว่ามารู้จักกับหญิงรักหญิงอย่างผู้เขียนได้อย่างไร


คำเรียกเธอจากที่คุ้นเคยกับการเรียกเพียงชื่อเล่นของเธอโดด ๆ วันนั้นผู้เขียนก็ต้องเรียกเธอด้วยคำขึ้นต้นว่า " คุณ" นำหน้า ก่อนจะตามมาด้วยชื่อของเธอ เพื่อเป็นการแสดงความไม่คุ้นเคย หรือรู้จักกันมาก่อนให้เป็นที่สงสัยได้


แม้การติดต่องานครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จด้วยดี แต่ความรู้สึกของผู้เขียนก็แหว่งๆ วิ่นๆ อย่างบอกไม่ถูกเมื่อกลับออกมาจากสำนักงานแห่งนั้น


ก็เข้าใจดี ถึงเหตุผลที่เธอไม่สามารถแสดงความรู้จักสนิทสนมกับหญิงรักหญิงอย่างผู้เขียนได้ เพราะในที่ทำงานนั้นเธอไม่ได้เปิดเผยกับใครว่าเป็นหญิงรักหญิง และหากเปิดเผยก็อาจจะมีผลกระทบต่อการทำงานของเธอ อย่างน้อย ๆ ก็อาจจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ และมีเครื่องหมายคำถามต่อเธอตามมา ซึ่งเธออาจกลัวไปเอง หรือว่าในที่ทำงานของเธอยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ ผู้เขียนก็ไม่รู้หรอก


ก็ได้แต่นึกต่อไปว่า ถ้าเธอมีคนรักเป็นผู้ชาย เหตุการณ์เช่นนี้จะยังเกิดขึ้นไหม ก็เท่านั้นแหละ .