Skip to main content

จากพลบค่ำสู่ย่ำรุ่ง

คอลัมน์/ชุมชน


 


อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน


 


เย็นวันนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศรอบตัวผมเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ


ไกลออกไปทางทิศตะวันตก เทือกเขาถนนธงชัยยืนทะมึนท้าลมหนาวต้นเดือนมกรา ใบไม้เอนไหวลู่ลม  น้ำยวมไหลเอื่อยเฉื่อยที่โคนสะพาน


 


สำหรับผมซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ บรรยากาศเช่นนี้เป็นของที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ ทุกวี่ทุกวัน


 


คำกล่าวที่ว่าธรรมชาติคือจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นผู้ทำลายล้างซึ่งทรงพลานุภาพที่สุดบนดาวดวงนี้ไม่ได้เกินความจริงเลย เมื่อผมมองไปยังท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกแล้วเห็นหมู่เมฆกับท้องฟ้าซึ่งเปลี่ยนจากสีฟ้าสดกลายเป็นเป็นสีเพลิงกาฬอย่างวิจิตรพิสดาร


 


ขณะเดียวกัน ใจผมประหวัดถึงเหตุการณ์ที่แผ่นดินพลิกตัวเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2547


 


เพียงเท่านั้น มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ภาคภูมิใจหนักหนาในเทคโนโลยีก็ตายกันเป็นแสนๆ ในพริบตาเดียวโดยไม่สามารถรู้ล่วงหน้า


มนุษย์จึงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ และไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรมชาติ…


เช่นกัน เขื่อนใหญ่ทั้งหลายที่อ้างว่าเพื่อประชาชน (แต่ความจริงคือไม่เคยให้อะไรกับประชาชน มีแต่ปล่อยน้ำเพิ่มยามฤดูน้ำหลาก กับทำให้น้ำท่วมบ้านเรือน ทำลายป่าไม้ ฯลฯ) ก็พังทลายลงในพริบตาได้เช่นกัน ถ้าแผ่นดินพลิกตัวอีกครั้ง


 


เช่นนั้นแล้วเราอหังการเกินไปหรือไม่ ที่ชอบถามว่าแผ่นดินเป็นของใคร


เพราะไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของแผ่นดินได้ และเราก็ต่าง "อาศัย" แผ่นดินอยู่


แผ่นดินที่ธรรมชาติสร้างมาให้กับชีวิตทุกชีวิตบนโลก


ผู้มีอำนาจที่คิดว่าแผ่นดินเป็นของตัวเองก็ต้องกลับสู่ธรรมชาติเช่นเดียวกับประชาชนธรรมดาที่เขากดขี่และปกครอง


 


บางที…ประชาธิปไตยไทยก็กำลังเข้าสู่ช่วงพลบค่ำเช่นกัน


เราจึงเห็นคนเดือนตุลากลายพันธุ์


เขาไม่เคยเข้าใจ ว่าเราไม่ได้แค่สู้กับเผด็จการทหารเท่านั้น แต่เรากำลังสู้กับอำนาจมืดที่คืนชีพหลังหายไปนานกว่า 7 ทศวรรษ


กลับมาพร้อมรูปแบบที่เปลี่ยนไปจนยากที่ประชาชาชนเดินดินทั่วไปจะมองเห็น


 


เราได้เห็น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (และการเมือง) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวหอกระบอบประชาธิปไตยอันมี "ประชาชน" เป็นใหญ่ หลงไปกับระบอบ "อำมาตยาธิปไตยภายใต้ท็อปบู๊ตเผด็จการทหารอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" อย่างไม่ลืมหูลืมตา


"สีแดง" ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้หายไปแล้ว


หันไปทำนากำมะลอให้ได้ชื่อว่าทำตัวติดดิน ขณะที่ความจริงนักศึกษาก็ยังเดินฟิวเจอร์พาร์ค ซื้อของแพงนายกสภามหาวิทยาลัยก็ยังนั่งรถหรู มีเลขาส่วนตัว อธิการบดีก็ยังกินข้าวมื้อละหลายสตางค์อยู่เช่นเคย


 


เราได้เห็น สื่อมวลชนไปเดินหลงกันไปคนละทาง สื่อบางสื่อเช่นผู้จัดการรายวันถึงกับปวารณาตัวเป็นยามให้ คมช. เชียร์ทหารสายเหยี่ยวอย่างเช่นนายสะพรั่ง กัลยาณมิตรอย่างออกหน้า


บางเล่มก็ฝักใฝ่อยู่กับกลุ่มอำนาจเก่าที่พยายามจะกลับสู่การเมือง


 


เราได้เห็น นักการเมือง นักเคลื่อนไหว  ผู้ทรงคุณวุฒิอันเคยที่เป็นที่เคารพในแวดวงต่างๆ พากันร่วมทำงานกับเผด็จการอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย 


เห็น "ความอุจาดลามก เป็นความงาม"


จากที่บ่นว่ารัฐบาลทักษิณแทรกแซงสื่อ คุกคามระบอบประชาธิปไตย แต่พอ คมช. "ขอความร่วมมือ" และ "ดูดสัญญาณ CNN" ทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันแถมตรงกว่า


นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้น มีใครบ้างที่ออกมาโวยวาย


นอกจากให้ความเห็นใจว่าเผด็จการชุดนี้ "หน่อมแน้ม" โดยมีพื้นฐานความเชื่อว่า ผู้ปกครองประเทศอันมีที่มาจาก "องค์กรเร้นรัฐ" ชุดนี้นั้น "มีคุณธรรม" โดยไม่จำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบใดๆ


 


เราได้เห็น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กล้าออกมาบอกว่า "ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาที่หนักหน่วง ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่มีการบริโภคจนเกินพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคด้านการเมือง คือการบริโภคประชาธิปไตยมากเกินไป ทำให้เป็นปัญหาอยู่จนทุกวันนี้…หลักเศรษฐกิจพอเพียงถือเป็นทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด" (ประชาไท 5 .. 2550)


 


ด้วยความเคารพ ท่านกำลังบอกให้เราใช้ประชาธิปไตยแบบพอเพียง…


 


ซึ่งโดยตรรกะ ถ้าถือว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบปกครองที่เลวน้อยที่สุด เราก็ควรดำเนินการตามวิถีของมันอย่างเต็มที่ จะใช้ครึ่งๆ กลางๆ คงไม่ได้ เช่นเดียวกับการทำความดีในพุทธศาสนา จะทำครึ่งๆ กลางๆ แล้วทำชั่วฆ่าคนเสียบ้างนั้น พระพุทธเจ้าทรงเคยสอนหรือ


 


เรานำเข้าพุทธศาสนามาจากอินเดีย เรานำเข้าระบอบประชาธิปไตยจากตะวันตก


เช่นนั้นมีอะไรเป็นของเรา และประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่อ้างว่าจะสร้างคืออะไร ถ้ามิใช่ระบอบที่ผู้ปกครองเผด็จการอำมาตยาธิปไตยคิดขึ้นแล้วผูกขาดการให้คำนิยามแต่ผู้เดียว


แล้วดูถูกการเมืองภาคประชาชนว่า "โง่" จนไม่อาจเยียวยา


           


โดยธรรมชาติ - - กลางคืนอันยาวนานจะสิ้นสุดด้วยเพลาแห่งอรุณรุ่ง


แสงอาทิตย์จะสาดส่องขับไล่ความมืดบนพื้นพิภพยามให้มลายสิ้น


เช่นเดียวกับประชาธิปไตย ช่วงหนึ่งมันอาจจมลงและเข้าสู่ความมืดมิดโดยคนบางกลุ่ม


แต่เมื่อยามอรุณรุ่งเดินทางมาถึง และท้องฟ้าเป็นสีทองผ่องอำไพอีกครั้ง พลังประชาชนจะฟื้นกลับมา


คณะผู้ปกครองประเทศไทย ควรจำใส่ใจไว้แต่บัดนี้