รักเพศเดียวกันบาปจริงหรือ: มองพระคัมภีร์ด้วยแนวคิดใหม่ (1)
คอลัมน์/ชุมชน
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลก และในขณะเดียวกันก็เป็นศาสนาหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์การต่อต้านคนรักเพศเดียวกันมากที่สุดในโลกเช่นกัน แม้ในปัจจุบันขบวนการของคนรักเพศเดียวกันกำลังเติบโตขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก และการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนรักเพศเดียวกันกำลังดุเดือดเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิในการแต่งงาน การคุ้มครองจากการถูกเลือกปฏิบัติ หรือการต่อสู้เพื่อการเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง แต่ศาสนจักรคาทอลิกที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงวาติกันยังคงยืนหยัดอยู่ข้างฝ่ายอนุรักษ์นิยม ตรงข้ามกับการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของขบวนการสีรุ้งอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน (Homophobia) ในศาสนาคริสต์นั้นมิได้มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม พระเยซูผู้เป็นศาสดาของศาสนาไม่เคยกล่าวถึงการรักเพศเดียวกันเลย จริง ๆ แล้วแก่นของศาสนาคริสต์นั้นคือ ความรัก พระบัญญัติหลักที่พระเยซูมอบไว้ก็คือ "จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง" ความเกลียดกลัวต่อคนรักเพศเดียวกันดูจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคำสอนของพระเยซู
หลายร้อยปีที่ผ่านมา เรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลถูกหยิบยกมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสร้างความชอบธรรมในการตัดสินลงโทษคนรักเพศเดียวกัน จนดูเหมือนกับว่าพระคัมภีร์ประณามการรักเพศเดียวกันว่าเป็นบาป แต่จริง ๆ แล้วข้อความที่ถูกยกมาครั้งแล้วครั้งเล่านั้นมีอยู่เพียงห้าจุดเท่านั้น ซึ่งก็คือ คือ เรื่องราวจากพระคัมภีร์เก่าตอนเมืองโสโดม (
บทความนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลบางส่วนจากการศึกษาเหล่านั้น
บาปของเมืองโสโดมคืออะไร
ข้อความในพระคัมภีร์เก่าในปฐมกาลบทที่ 19 กล่าวไว้ว่า
1ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสองเขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและกราบลงถึงดิน 2กล่าวว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้าเดินทางต่อไป" ท่านทั้งสองตอบว่า "อย่าเลยเราจะค้างคืนที่ลานเมือง" 3แต่โลทก็รบเร้าชักชวนท่านทั้งสอง ท่านจึงไปกับเขาเข้าไปในบ้านของเขา โลทก็จัดการเลี้ยง ปิ้งขนมไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน 4ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่หมดทั้งเมืองจนถึงคนสุดท้ายพากันมาล้อมเรือนนั้นไว้ 5พวกเขาร้องเรียกโลทว่า "ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา" 6โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูเสีย 7กล่าวว่า "พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย 8ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคน ยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว" 9แต่พวกนั้นร้องว่า "ถอยไป" และขู่ว่า "เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก" พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู 10แต่แขกทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย 11ท่านทั้งสองทำให้พวกคนที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอดหมดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ (ปฐมกาล 19: 1-11)
แล้วทูตสวรรค์ทั้งสองจึงเตือนโลทว่าให้พาครอบครัวออกจากเมืองนี้ เพราะพระเจ้าจะทำลายเมืองที่ทำผิดบาปนี้เสีย เมื่อโลทและครอบครัวหนีออกจากเมืองแล้ว "พระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟจากพระเจ้าตกลงจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์" (ปฐมกาล 19:24)
เรื่องราวของเมืองโสโดมถูกนำมาใช้ตัดสินคนรักเพศเดียวกันมากที่สุด จนชาวคริสต์ทั่วไปเมื่อนึกถึงเมืองโสโดมก็จะนึกถึงบาปของคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งร้ายแรงมากจนพระเจ้าต้องทำลายเมืองทั้งเมือง นี่เป็นที่มาของคำว่า
แน่นอนว่าชาวเมืองโสโดมได้กระทำบาป แต่บาปของพวกเขาคือการเป็นคนรักเพศเดียวกันจริงหรือ?
ความคิดที่ว่าบาปของเมืองโสโดมเป็นบาปของการรักเพศเดียวกันนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยมีการใช้คำว่า "โสโดมไมท์" (Sodomite) เพื่อเรียกผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย จนกระทั่งถึงปัจจุบัน คำๆ นี้ใช้เรียกหมายรวมถึงทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งมีความหมายไปในทางตัดสินว่าเป็นพวกคนบาปหยาบช้า
แต่ก่อนหน้านั้นรวมทั้งในพระคัมภีร์และพระเยซูเอง ไม่มีใครคิดว่า บาปของเมืองโสโดมคือการรักเพศเดียวกัน ในพระคัมภีร์เองมีการอ้างถึงเมืองโสโดม โดยพูดถึงบาปที่ต่างกันไป เช่น เป็นความอยุติธรรม, การปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ตกยาก, การไม่ต้อนรับผู้มาเยือน, การกดขี่, ความหยิ่งยโส, การล่วงประเวณี, ความลำเอียง, การโกหก, การส่งเสริมความชั่วร้าย (เช่น ในอิสยาห์ 1:9 และ 3:9, เยเรมีย์ 23:14, เอเสเคียล 16 : 46-52, เศฟันยาห์ 2:8-11) พระเยซูกล่าวถึงเมืองโสโดมในแง่ของการปฏิเสธผู้นำสารของพระเจ้า (มัทธิว10:5-15)
นักพระคัมภีร์ตีความเรื่องนี้ไปได้สองทาง คือ
1 สิ่งที่ชาวเมืองโสโดมต้องการนั้นไม่ใช่การมีเพศสัมพันธ์
2 หรือถ้าเป็นเรื่องเพศจริง บาปของเมืองโสโดมนั้นไม่ใช่การรักเพศเดียวกัน
ในกรณีที่ 1 เมื่อศึกษาดูคำว่า "สมสู่" (จากบทพระคัมภีร์เบื้องต้นข้อที่ 5) ในภาษาฮีบรู (ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เขียนพระคัมภีร์นี้) พบว่าคำนี้มีความหมายอื่นได้ คำนี้แปลตรงตัวได้ว่า "รู้จัก" พบปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เก่า 943 ครั้ง มีเพียง 10 ครั้งเท่านั้นที่มีนัยถึงเรื่องเพศ
ถ้าเราพิจารณาในความหมายว่ารู้จักธรรมดา อาจคิดได้ว่า โลทนั้นเป็นชาวต่างถิ่นที่เดินทางมาค้างในเมือง แล้วยังต้อนรับชายแปลกหน้า 2 คน มาพักในเวลาค่ำคืนอีก ชาวเมืองอาจเกิดความสงสัย จึงมาเคาะประตูเรียกโลท เพื่อตรวจสอบชาย 2 คนนั้น เมื่อโลทไม่ยอมส่งชายทั้งสองออกไป จึงทำให้ชาวเมืองผู้มีใจอธรรมอยู่แล้วโกรธแค้น
ในพระคัมภีร์มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคล้ายคลึงกับเรื่องเมืองโสโดมมาก เราอาจนำมาเทียบเคียงหาความเป็นไปได้ของข้อสันนิษฐานนี้ ในผู้วินิจฉัย 19 พูดถึงเรื่องของเมืองกิเบอาห์ เรื่องมีอยู่ว่า เลวีคนหนึ่ง เดินทางพร้อมกับคนรับใช้และภรรยาน้อย เมื่อเดินทางมาถึงเมืองกิเบอาห์ก็เป็นเวลาค่ำคืนแล้ว ไม่มีชาวเมืองคนใดให้ที่พักแก่เขา ยกเว้นชาวต่างเมืองคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น เมื่อทุกคนเข้าไปในบ้านพักของเจ้าบ้านแล้ว ผู้ชายในเมืองต่างพากันมาล้อมบ้าน หมายจะ "รู้จัก"ผู้มาใหม่ เช่นเดียวกับโลท เจ้าของบ้านปฏิเสธที่จะส่งแขกออกไป และเสนอจะส่งลูกสาวพรหมจรรย์ออกไปแทน แต่ชาวเมืองไม่ต้องการเธอ เลวีจึงผลักภรรยาน้อยของตนออกไป ชาวเมืองข่มขืน (รู้จัก) เธอทั้งคืน จนเช้าเลวีจึงพบว่าเธอนอนตายอยู่หน้าประตูบ้าน เพื่อเป็นการแก้แค้น เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งหมดจึงรวบรวมกำลังพลมาทำลายเมืองกิเบอาห์
ในกรณีนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าชาวเมืองนั้นต้องการจะฆ่าเลวี (ผู้วินิจฉัย 20:5) ไม่ใช่ต้องการจะมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น "รู้จัก" คำนี้จึงไม่ได้มีนัยทางเพศ เมื่อนำมาเทียบเคียงกับเรื่องของเมืองโสโดมจึงพอสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าชาวเมืองไม่ได้ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับชายทั้งสอง
หรือถ้าตามกรณี 2 ที่ว่าชาวเมืองต้องการมีเพศสัมพันธ์กับชายแปลกหน้าสองคนจริง ดูให้ดีแล้วจะเห็นว่านี่ไม่ใช่การมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมดา แต่นี่คือการพยายามข่มขืนหมู่ และการที่โลทเสนอลูกสาวของตนออกไปแทน ทำให้เห็นได้ว่าจริงๆแล้วชาวเมืองนั้นเป็นคนรักต่างเพศ (Heterosexual) มิฉะนั้นโลทคงไม่ส่งผู้หญิงออกไปให้กับผู้ชายที่รักเพศเดียวกัน เมื่อนำทั้งสองประเด็นนี้มารวมกันสามารถสรุปได้ว่า ชายเมืองโสโดมเป็นชายรักต่างเพศที่พยายามจะใช้กำลังข่มขืนผู้ชาย
ในตะวันออกกลางมีพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ซึ่งเหตุผลที่ทำนั้นไม่ใช่เพื่อความพอใจทางเพศ แต่เป็นการกระทำเพื่อดูถูกเหยียดหยามผู้ชายอีกเผ่าหนึ่ง วิธีการดูถูกก็คือ บังคับให้ผู้ชายคนนั้นเล่นบทของผู้หญิงในการมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายที่ตกเป็นเหยื่อจะรู้สึกถูกดูถูกเหยียดหยาม คนที่ข่มขืนจะรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจเหนือกว่าชายอีกเผ่า ทั้งกรณีของเมืองโสโดมและกิเบอาห์ตรงกับข้อมูลนี้ ทั้งโลทและเลวีต่างก็เป็นชายต่างเผ่า ที่เข้ามาอาศัยพักพิงในเมืองของอีกเผ่า ความปลอดภัยของโลทและเลวีขึ้นอยู่กับชาวเมืองอย่างสิ้นเชิง ชาวเมืองจะเลือกทำอะไรกับพวกเขาก็ได้
ดังนั้น เมื่อเป็นการข่มขืน ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความอยุติธรรม การกดขี่ข่มเหงและเป็นบาปด้วยกันทั้งนั้น
และแม้จะเป็นบาปที่พระคัมภีร์บางตอนบอกว่าเป็นการล่วงประเวณี ในสายตาของชาวยิวโบราณ บาปของการล่วงประเวณีไม่ได้พุ่งประเด็นไปที่เรื่องเพศและการละเมิดในตัวผู้หญิง การล่วงประเวณีถือเป็นความผิดเพราะเป็นการละเมิดทรัพย์สินของผู้ชาย (ซึ่งผู้หญิงก็ถือว่าเป็นหนึ่งในทรัพย์สินของผู้ชายด้วยเช่นกัน) นี่เองที่ถือว่าเป็นความอยุติธรรมในสมัยนั้น
ประเด็นสำคัญที่พระเยซูและพระคัมภีร์บางตอนพูดถึงก็คือ เรื่องการไม่ต้อนรับผู้มาเยือน การไม่ช่วยเหลือผู้ตกยาก และการปฏิเสธผู้นำสารของพระเจ้า ประเด็นนี้เราต้องมาพิจารณาดูบริบททางวัฒนธรรมในสมัยนั้น เมืองโสโดมอยู่ในเขตทะเลทราย ซึ่งมีกฎอยู่ว่า เจ้าบ้านจะต้องต้อนรับแขกผู้มาเยือนและหาที่พักอาศัยให้ เพราะว่าทะเลทรายยามกลางคืนนั้นหนาวเหน็บมาก การไม่มีที่พักอาจหมายถึงอันตรายถึงชีวิต นี่เป็นกฎทะเลทรายที่สำคัญมาก เมื่อชาวเมืองโสโดมผู้เป็นเจ้าบ้านไม่ต้อนรับซ้ำยังกระทำรุนแรงกับผู้มาเยือน (ซึ่งเป็นทูตสวรรค์และถือว่าเป็นผู้นำสารของพระเจ้า) จึงเป็นความผิดอย่างฉกรรจ์ โลทเองต้องมีหน้าที่ปกป้องแขกของตนและปกป้องตนเอง เขาจึงเสนอลูกสาวพรหมจารีของตนออกไปแทน ให้ชาวเมืองทำอะไรกับเธอก็ได้ นี่เป็นเพราะสังคมของโลทเห็นผู้หญิงเป็นเพียงทรัพย์สมบัติของผู้ชายและเธอต้องทำทุกอย่างแม้แต่สละชีวิตของตนเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของผู้ชาย เลวีเองก็ทำเช่นเดียวกับโลท
จุดนี้เป็นอีกตอนที่ย้ำให้เห็นว่าพระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้พูดถึงศีลธรรมด้านเพศอย่างที่เรารู้จักกันเลยไม่เช่นนั้นคงไม่สื่อให้เห็นภาพของโลทผู้เป็นคนยุติธรรมในสายตาพระเจ้า ส่งลูกสาวพรหมจารีของตนออกไปให้ชาวเมือง หรือเมื่อดูต่อไป หลังจากที่โลทและครอบครัวหนีออกมาแล้ว ภรรยาของโลทหันกลับไปมองเมืองโสโดม นางจึงกลายเป็นเสาเกลือ เหลือเพียงโลทและลูกสาวทั้งสอง ลูกทั้งสองเกรงว่าจะไม่มีใครสืบเผ่าพันธุ์ จึงมอมเหล้าโลทและหลับนอนกับพ่อของตน จนเกิดบุตรชายสองคนซึ่งเป็นต้นตระกูลของคนโมอับและอัมโมน นี่คงไม่ใช่สิ่งที่เราจะนำมาสอนศีลธรรมทางเพศในคริสตศตวรรษที่ 21 ได้เช่นกัน
จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่าบาปของเมืองโสโดมคือการกดขี่ข่มเหง การไม่ต้อนรับผู้มาเยือน ความอยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่ประเด็นเรื่องการประพฤติผิดทางเพศ และไม่ได้กล่าวถึงคนรักเพศเดียวกันเลยสักนิดเดียว ดังนั้น การใช้พระคัมภีร์ตอนนี้มาอ้างว่า บาปของเมืองโสโดมคือการรักเพศเดียวกันนั้นจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเป็นอันมาก