Skip to main content

เพลงเตหน่ากู : ตอนกำเนิด เตหน่ากู

คอลัมน์/ชุมชน

เตหน่า เรเร เตหน่า เร                  ซอตู่ เรเร ซอตู่ เร


เด เต่อ เซ เปอ ซึ เต่อ เซ              ซึ เต่อ เซ เปอ เด เต่อ เซ


ปวา เด เหม่ เซ ซึ เหม่ เซ ซ่อ เส่อ ยือ ลอ อิ ลอ เอ


 


เตหน่าที่มันส่งเสียงดัง                 ซอตู่ที่มันเปล่งเสียงดัง


ดีดไม่เป็นเราเล่นไม่เป็น               ดีดไม่เป็นเล่นไม่เป็นเพลง


หากใครดีดและเล่นมันเป็น           เสียงไพเราะชวนให้หลงใหล


                                                (ธา บทกวีของชนเผ่าปวาเก่อญอ)


 


กลางดึกในชุมชนบ้านป่า ผู้คนต่างพักผ่อนหลังการทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน  นอกจากเสียงจิ้งหรีดร้องเรียกหาคู่แล้ว นานๆ นกกลางคืนจะส่งเสียงทีหนึ่ง  ความเงียบได้ทำหน้าที่ห่มคลุมผู้คน ณ หมู่บ้านกลางไพรให้หลับนอนอีกครั้ง 


 


ณ บ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง  ข้างเตาไฟมีสองพ่อลูกคู่หนึ่งยังนั่งเล่นเตหน่ากูท่ามกลางความเงียบ  เล่นกันเงียบๆ คุยกันเงียบๆ  พ่อสอนลูกเรียน  ลูกถามพ่อตอบ  มันคือบ้านเรียนที่เหมือนโรงเรียน แต่เป็นการเรียนรู้ถ่ายทอดกันในครัวเรือนและในชุมชน


 


"เตหน่ากู มีความเป็นมาอย่างไรครับพ่อ?" ลูกถาม


"พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะพ่อเกิดมาคนก็เล่นกันนานแล้ว พ่อเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง ถ้าลูกอยากฟัง ต้องต้มนำชาให้พ่อดื่มสักชาก่อนดีมั้ย?"


 


ลูกชายรีบจัดแจงตามที่พ่อต้องการ  การดื่มชาจะทำให้ผู้ดื่มสามารถต่อสู้กับความง่วงได้ดีพอสมควร  พ่อเกรงว่าลูกชายจะง่วงก่อนเรื่องเตหน่ากูจะจบ และอีกอย่างการดื่มชาร้อนๆเป็นการเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายในการโต้กับลมเย็นหนาวแห่งดอยสูง


 


พ่อเล่าต่อว่า


ตะก่อนโน้น คนเฒ่าคนแก่ปวาเก่อญอเล่าว่า  คนปวาเก่อญอมีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำไร่หมุนเวียน  คนที่เป็นเจ้าเมืองก็ต้องทำไร่  ชาวบ้านธรรมดาก็ต้องทำไร่  แม่หม้ายเด็กกำพร้าก็ต้องทำไร่หมด  การทำไร่นั้นต้องล้อมรั้วเป็นการกันสัตว์ป่าเข้ามากินข้าวไร่เช่น หมูป่า  ช้างป่า ควายป่าเป็นต้น


 


หลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็จะนำไม้ที่ทำรั้วนั้นกลับไปทำเป็นฟืนในการหุงต้มที่บ้าน ส่วนท่อนไม้ใหญ่ๆที่ไม่สามารถเอากลับไปที่บ้านได้ก็จะเก็บไว้  เมื่อถึงหน้าฝนอีกปีจะมีเห็ดต่างๆขึ้นตามท่อนไม้เหล่านั้นเป็นแหล่งเพาะเห็ดอย่างดี


 


อยู่มาปีหนึ่ง  ก่อนที่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะมาถึงในหมู่บ้านปวากเอญอจะมีการมัดมือเอาฤกษ์เอาชัยก่อนจะลงมือเก็บเกี่ยว  ในพิธีกรรมมัดมือนั้นจะมีการต้มเหล้า  การทำขนมอาหารต่างๆ  เพื่อให้ผู้คนในหมู่บ้านได้ดื่มกินกันในวันดังกล่าว


 


นอกจากการมัดมือ  การดื่มกินแล้วก็จะมีการขับขานลำนำอื่อธาของชนเผ่าปวาเก่อญอ  ทำให้หมู่บ้านตื่นขึ้นมาจากความเงียบด้วยเสียงอื่อธา


 


แต่ก่อนพิธีกรรมมัดมือในปีนั้นมาถึง ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมืองได้บอกกับพ่อว่า ตนจะนอนพักผ่อนในวันเวลาดังกล่าวตนจะไม่ยุ่งกับพิธีกรรมมัดมือปีนี้  ตนจะนอนพักผ่อนเก็บแรงไว้ใช้ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่จะมาถึงเร็วๆนี้


 


ฝ่ายเจ้าเมืองคิดหนัก  เพราะพิธีกรรมมัดมือนั้นทุกคนในครอบครัวและทุกคนในชุมชนต้องเข้าร่วม  ถ้าหากลูกสาวเจ้าเมืองไม่เข้าร่วมก็ถือว่าพิธีกรรมไม่เสร็จสมบูรณ์  เจ้าเมืองและคนในเมืองต่างรู้กิติศัพท์เรื่องความดื้อของเจ้าเมืองคนสุดท้องดี  ลองคิดจะทำอะไรแล้วช้างก็ฉุดไม่อยู่


 


เจ้าเมืองจึงประกาศให้รู้ทั่วกันว่า  ใครที่ทำให้ลูกสาวของตนตื่นในวันพิธีมัดมือได้ตนจะยกลูกสาวให้และจะยกเมืองให้อีกครึ่งหนึ่ง


 


ผู้คนในเมืองต่างฮือฮาและพูดถึงประกาศของเจ้าเมืองทั่วบ้านทั่วเมืองแม้กระทั่งเด็กกำพร้าที่ไม่ค่อยอยู่ในหมู่บ้านเพราะอยู่ที่ไร่มากกว่าก็ยังได้รับรู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


เด็กกำพร้าเคยเห็นลูกสาวเจ้าเมืองครั้งเดียว แต่เห็นไกลๆไม่ค่อยเห็นชัด  แต่ผู้คนต่างชื่นชมลูกสาวคนสุดท้องว่าเป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดี  นิ้วมือเพรียวนิ้วเท้าแพรว  ขนคิ้วโก่งขนตนงอน  ริมฝีปากสีแดงดั่งปากนกแก้ว  ยิ้มฟันสวยเต็มเหมือนเม็ดข้าวโพดที่เต็มอยู่ในฝัก ก้นใหญ่พองาม  นมโตพอสวย ผมดำยาวสยายถึงก้น


 


เด็กกำพร้ารู้ตัวดีว่าตนมิอาจมีความสามารถพอที่จะทำให้ลูกสาวของเจ้าเข้าร่วมงานได้  ในขณะที่หนุ่มๆในเมืองต่างเตรียมตัวต่างๆนานาเพื่อจะโน้มน้าวหรือดึงดูดให้ลูกสาวเข้าร่วมงานให้ได้


 


ฝ่ายเด็กกำพร้าไม่กล้าที่จะไปร่วมกิจกกรมในบ้านเจ้าเมือง  จึงไม่ได้เตรียมอะไรเนื่องจากไม่มีอะไรที่จะเตรียม  ทั้งที่ในใจก็ชอบลูกสาวเจ้าเมืองเหมือนกัน  ใจหนึ่งไม่กล้าไป  ใจหนึ่งก็อยากไป  ช่วงที่คิดตัดสินและลังเลอยู่นั้นเด็กกำพร้าได้หยิบท่อนไม้งอท่อนหนึ่งในรั้วแล้วใช้มีดฟันเล่นๆ


 


"ไปหรือ ไม่ไปดีนะ?"  เด็กกำพร้าคิดในใจพร้อมกับฟันและแกะแคะท่อนไม้ไปเรื่อยๆ  ก่อนจะมาสะดุดอีกทีตรงที่เห็นรูปทรงของท่อนไม้ที่ฟันนั้นมีรูปร่างโค้งงอสวยดี  ท่อนไม้ใหญ่กลวงมีกิ่งที่โค้งงอ 


 


"เป็นสิ่งมหัศจรรย์ดี ต้องทำอะไรเพิ่ม" เด็กกำพร้าคิดในใจ แล้วเด็กกำพร้าจึงเจาะรูตรงกิ่งท่อนไม่ที่โค้งงอนั้นแล้วนำกิ่งไผ่มาเสียบในรูที่เจาะ จากนั้นนำหนังเก้งที่ยิงด้วยหน้าไม้ช่วงแรกฝนมาปิดความกลวงของท่อนไม้ใหญ่ไว้


 


เด็กกำพร้าเอาตั้งไว้ที่ขอนไม้  แล้วยืนดูมัน


"ทำอย่างงัยกับมันต่อดีนะ?"  เด็กกำพร้าคิดขณะเดินวนดูมันรอบๆขอนไม้ 


 


ทันใจนั้นตาของเด็กกำพร้าเหลือบไปเห็นหญ้าชนิดหนึ่งที่ลักษณะคล้ายเถาวัลย์  คนปวาเก่อญอเรียกว่า  "จอชื่อ" เด็กกำพร้าจึงไปดึงจิชื่อมา แล้วขึงเป็นสายระหว่างกิ่งไผ่กับหนังเก้งบนท่อนไม้ที่แกะมาทั้งหมด6 สาย ดั่งคำธาของปวาเก่อญอกล่าวไว้ว่า


 


"เตหน่า อะ ปลี เลอ จอ ชื่อ   เด เต่อ หมื่อ เด ซึ เด ซึ" แปลว่า ส่ายเตหน่าทำมาจากจอชื่อ หากเล่นแล้วเพี้ยนต้องค่อยๆ ตั้งสาย"  


หลังจากนั้นเด็กกำพร้าไปวางไว้บนขอนไม้อีกครั้ง แล้วยืนดู


 


"เอาไปทำอะไรดีนะ?" เด็กกำพร้าครุ่นคิดขณะเดินวนดูมันรอบๆขอนไม้ เด็กกำพร้าเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วเอานิ้วแตะดูสายของมันสองสาย


 


"กรู-นา" เด็กกำพร้าตกใจมากที่มันมีเสียง เด็กกำพร้าถอยออกมาแล้วจ้องดูมันด้วยความสั่น แต่เด็กกำพร้าก็อดใจไม่ไหวจึงเข้าไปใกล้มันอีกครั้ง มือค่อยๆยื่นไปแตะสายแรกดัง "กรู"แตะสายที่สองดัง "นา"เด็กกำพร้าเริ่มคุ้นเคย ค่อยๆแตะสายอื่นเสียงก็ดังแตกต่างกันไป


 


"เอาไปทำอะไรดีนะ?" เด็กกำพร้าคิดอีกขณะจับมันอุ้มและลูบคลำด้วยความภูมิใจ