Skip to main content

เปิดรับทำนายตัวเลขต่อไปค่ะ

คอลัมน์/ชุมชน

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกว่าคาดไม่ถึง ว่าจะมีผู้ร่วมสนุกกันมามากมายจนตอบไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรค่ะ กล้าถามก็กล้าตอบ จะทยอยโพสต์ตอบไปก็แล้วกันนะคะ


 


แต่อาทิตย์นี้ มีเรื่องดีๆ มาบอกกันด้วยล่ะค่ะ ก่อนอื่น อยากแนะนำให้รู้จักกับ น้องปิ่น ก่อนนะคะ


 



 


 


 






น้องปิ่น เป็นลูกสาวของ พี่ฟอง เป็นคนข้างบ้านฉันเองค่ะ งานปกติของพี่ฟองก็คือรับจ้างเป็นแม่บ้าน, ซักรีด, คนซื้อกับข้าว ฯลฯ มีบ้านฉันด้วยค่ะ ที่ช่วยเข้ามาทำความสะอาด กวาดใบไม้ รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ


 


มีอยู่วันหนึ่ง พี่ฟองเคยอุ้มลูกเข้ามาบอกว่า "เอาน้องปิ่นมาอยู่ด้วยนะ วันนี้ไม่มีคนอยู่บ้านเลย"


"ว่าไงน้องปิ่น" ฉันทักทาย หนูน้อยก็ตอบอย่างร่าเริง "แอ๊ะๆ เอ๊าะๆ" ฉีกยิ้มพลางน้ำลายไหลยืด


 


น้องปิ่นเดินไม่ได้ค่ะ นั่งก็ไม่ได้ พูดไม่ได้ เคี้ยวอาหารเองไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือนอน ผงกหัวนิดหน่อย แต่พี่ฟองบอกว่าน้องปิ่นรู้ทุกอย่าง เป็นเด็กฉลาด  อารมณ์ดีด้วยนะ


ฉันเชื่อ เพราะว่าเวลาทักทายน้องปิ่น หรือชวนคุย ชวนถ่ายรูป เธอจะส่งเสียงอย่างสนุกสนาน ยิ้มแล้วยิ้มอีก ดูรูปแล้วก็จะเห็นว่าน้องปิ่นยิ้มได้สวยแค่ไหน


แต่พี่ฟองก็บอกว่า มีบ่อยๆ ที่น้องปิ่นร้องไห้ ไม่ว่าจะเป็นตอนร้องตามแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน วันไหนมีญาติพี่น้อง หรือลูกชาย ลูกสะใภ้มาบ้าน ก็ยังมีคนอยู่เป็นเพื่อน แต่วันไหนไม่มี น้องปิ่นก็ต้องอยู่คนเดียว


 


พ่อของน้องปิ่นเป็นชายวัยกลางคน ฉันคิดว่าภาพที่เห็นคือคนไม่ค่อยแข็งแรงนัก อยู่บ้านเกือบตลอด เมาบ่อย แต่เมื่อถามพี่ฟองว่า "พ่อน้องปิ่นทำงานอะไร"


พี่ฟองก็ตอบว่า "เขาทำไม่ได้ เมื่อก่อนเคยช่วยกันทำมาหากิน ขับรถส่งของ ก็ไปโดนรถชนที่ประตูเชียงใหม่ กลายเป็นคนพิการ ขาดามเหล็ก ทำงานหนักไม่ได้แล้ว"


 


"แล้วได้ค่ารักษาไหม ตอนรถชนใครผิดใครถูก"


 "ฝ่ายชนผิด เขาให้มาหมื่นหนึ่ง แต่ต้องรักษาตัวเป็นเดือนๆ เลยนะ ส่วนเพื่อนพ่อน้องปิ่นถึงตาย รู้สึกจะได้สองหมื่น พ่อน้องปิ่นโชคดีไม่ตาย แต่หายแล้วกลายเป็นคนทำอะไรไม่ได้ ก็อยู่กันไป"


 


ลูกชายของพี่ฟองทำงานที่โรงหนังแห่งหนึ่ง "ลูกก็ดีนะ วันไหนคนน้อยๆ เขาก็โทรมาบอกให้พาน้องปิ่นไปดูหนัง อุ้มกันขึ้นรถแดงไป ลูกคนนี้ไม่ได้เรียนหนังสือหรอก เขาบอกว่าแม่ลำบากมากแล้วก็อยากช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ก็มีครอบครัวไปแล้ว"


 


บางครั้ง ฉันเคยนึกสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้มนุษย์แต่ละคน "เกิด" ที่นั่นที่นี่ ได้รับสิ่งต่างๆ อย่างนั้น อย่างนี้ทำไม บางคนที่มีแต่คราวเคราะห์ มันเหมือนไม่มีสิ้นสุดเสียที


 


พี่ฟองเล่าให้ฉันฟังเมื่อช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาว่า


"พาน้องปิ่นไปเที่ยวมา ที่ศูนย์เค้าจัดงานปีใหม่" ศูนย์ที่ว่าคือศูนย์ทำกายภาพบำบัดสำหรับเด็กพิการแบบน้องปิ่น อยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาลนครพิงค์ ในเขต อ.แม่ริม


แม้หมอจะเคยบอกว่า โอกาสที่จะหาย มีแค่ 10 – 20 % เท่านั้น พี่ฟองก็ไม่เคยย่อท้อ กระเตงลูกใส่เอวไปทุกวันอาทิตย์ เดินไปปากซอย ขึ้นรถแดง ต่อรถเหลือง รอติดรถเข้าศูนย์ บางวันรถเข้าศูนย์ไม่มีก็พากันเดินไป ระยะทางไม่ใช่น้อย


 


"น้องปิ่นสนุกมาก" พี่ฟองเล่าต่อ "ได้เจอเพื่อนๆ ได้ขนม ได้ของเล่น"


"มีเด็กแบบน้องปิ่นเยอะไหมคะ"


"เยอะ...นี่นะ มีอยู่คนหนึ่ง พ่อทำงานอู่ซ่อมรถ แม่ตายแล้ว เป็นเด็กโตกว่าน้องปิ่น พ่อก็ไปทำงานทุกวัน ฝากเด็กให้ย่าเลี้ยง...ย่าอายุ 80…


"ตอนนี้เด็กมีเมนส์แล้วนะ แต่อยู่กับพ่อไง ก็ไม่รู้เรื่องว่าต้องพาเด็กตัดมดลูกแต่เนิ่นๆ มาถึงตอนนี้ จะพาไปตัดก็กลัวลูกเจ็บ"


 


เด็กที่พิการเหล่านี้ ล้วนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ค่ะ แค่ผงกหัวได้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว


 


"แล้วน้องปิ่นละคะ" ฉันถาม พี่ฟองน้ำตาคลอ...มันมีอยู่จริงๆ คนที่สามารถร้องไห้ได้อย่างรวดเร็วและทันที เหมือนกับว่า ใต้ผิวหนังและร่างกายทั้งหมด มีแต่ตาน้ำที่รอเวลาปะทุ


 "ก็คงต้องเอาไปตัด" ใครว่าคนเราจะยิ้มด้วยร้องไห้ด้วยไม่ได้ "ยังไงก็ต้องทำ ปล่อยให้เมนส์ไหลไม่ได้หรอก เรื่องใหญ่ เกิดวันไหนไปโดนคนเขาทำอะไรอีก...จะทำยังไง ของมันเกิดขึ้นได้ ต้องกันไว้ก่อน"


 


"เด็กแบบน้องปิ่น ต้องตัดมดลูกทุกคนหรือคะ"


พี่ฟองพยักหน้า


 "ค่ะ ต้องตัด ก่อนประจำเดือนจะมา"


ฉันนึกถึงแววตาของน้องปิ่น รอยยิ้มที่ร่าเริง ชีวิตที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ หรือถ้าเดาได้...ใครบ้าง อยากให้มันเป็นต่อไปอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ บางที คนเราก็มีเหตุผลมากพอที่จะอธิษฐาน รอปฏิหารย์ หรือว่าฝันลมๆ แล้งๆ


 


 



รอยยิ้มของแม่กับลูก เมื่อพยายามจัดท่าถ่ายรูป


 


"พี่ฟอง ถามอะไรหน่อยสิ...ถ้าวันหนึ่งพี่ฟองไม่อยู่ พ่อน้องปิ่นไม่อยู่ น้องปิ่นจะอยู่กับใคร"


"พี่ตั้งใจไว้แล้ว"


ฉันเห็นแล้วล่ะ ว่าสีแดงที่อยู่ในดวงตาของพี่ฟอง ตลอดจนแม่น้ำที่ไหลอยู่ในนั้น มันกว้างใหญ่ไพศาล และมันเดือดดาลแค่ไหน แต่หรือเพราะเราต่างเป็นแค่สิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อย มีอะไรอีกมากที่อยู่นอกเหนือการจัดการของเรา


อย่างมาก เราก็แค่ยิ้มให้กันไปเรื่อยเปื่อย ทั้งๆ ที่มีความคัดอกคัดใจ จนไม่รู้จะอธิบายยังไง


 


"ทุกวันนี้ พี่ต้องพยายามหาผลไม้ให้น้องปิ่นกิน ให้ถ่ายง่ายๆ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ต้องคอยใช้ยาสวน เราก็รู้นะ ว่านานไปไม่เป็นผลดี แต่หมอก็บอกว่าคือร่างกายเค้าขับเองไม่ได้ เคยลองให้ถ่ายเอง เบ่งเป็นชั่วโมงๆ หน้าเขียวหน้าเหลือง เจ็บจนร้องไห้ยังไม่ออก...แล้วถ้าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ใครจะมาทำให้"


"ที่ศูนย์ละคะ เขารับดูแลไหม ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่"


"ศูนย์เขารับแต่เด็กที่พอช่วยเหลือตัวเองได้" พี่ฟองพูดอย่างเข้าใจสิ่งต่างๆ ดี "เราก็เข้าใจเขานะ เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง กินเองได้ ถ่ายเองได้ อย่างน้อยมันก็ยังไม่เป็นภาระมาก...แต่พี่ตั้งใจไว้แล้วล่ะ"


 


ฉันตั้งใจฟังมาก พี่ฟองมีทางออกอย่างไรหนอ


 


"ถ้าวันไหนที่รู้ว่าเราจะต้องไปแน่ๆ..." พี่ฟองทำเหมือนจะพูดไม่จบ แต่ก็พูดจนจบ แม่น้ำที่ฉันเห็นว่ามันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็ไหลแคบแค่ร่องน้ำตา


"...พี่จะเอาเค้าไปด้วย"


 


 


 


 


.......................................


 


จบแล้วค่ะ นี่คือสิ่งดีๆ ที่ฉันตั้งใจจะนำมาเล่าให้คุณฟังๆ เพราะเห็นว่าช่วงนี้ เมื่อเปิดคอลัมน์เกี่ยวกับการพยากรณ์ก็มีคนให้ความสนใจทีเดียว


 


สำหรับฉันนั้น การล่วงรู้อนาคตของตัวเอง อาจไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรมาก เท่ากับการล่วงรู้ ณ ปัจจุบันที่เราอยู่ หรือการได้มองเข้าไปในอดีต ทางของเรา ใจของเรา สิ่งที่เป็นตัวเรา เพื่อค้นหาว่า อะไรกันแน่ ที่เป็นความหมายแท้จริงของชีวิตเราเอง


 


แน่ล่ะ มันย่อมไม่มีคำตอบเดียว และอย่างที่ฉันบอกไปแล้ว บางที เราก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ สิ่งที่ทำได้ ก็อาจแค่ทำแต่ละนาที แต่ละวัน แต่ละเดือน ถักร้อยเป็นสร้อยกาลเวลาต่อเนื่องให้ดีที่สุด


 


และเมื่อคิดเช่นนี้ บางทีฉันก็คิดว่า ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งหลาย  อาจมีเพื่อให้เราตระหนักถึงความเร้นลับแท้จริงของชีวิต สิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน มีวงเวียนกรรม หรือแม้แต่เรื่องบ้าบอคอแตกมากมาย ที่คอยบอกเราว่า ชีวิตควบคุมไม่ได้ แต่เราพยายามได้ และสิ่งที่ดีที่สุดในการเป็นมนุษย์ก็คือ เราเป็นสปีชี่ส์ที่มีสติปัญญา เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ที่สำคัญ เราช่วยเหลือกันและกันได้


 


...ถูกแล้วค่ะ อย่างที่คุณๆ เริ่มคิด ฉันคิดว่า ไหนๆ ก็ได้เปิดพยากรณ์กันอย่างสนุกสนานไปแล้ว แม่นไหมไม่ทราบ แต่มีคนบอกว่าตรงเหมือนกันก็ขอบคุณค่ะ


 


ฉันจะยังเปิดรับตัวเลขเพื่อทำนายต่อไปนะคะ แต่ขอถือโอกาสบอกบุญด้วยการให้บัญชีของน้องปิ่น ซึ่งเปิดมาตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 2547 มาถึงเมื่อเดือนธันวาคม 2549 นี้ มียอดเงินทั้งสิ้น 2,910.34 บาท (สองพันเก้าร้อยสิบบาทสามสิบสี่สตางค์)


 


หากท่านใดมีความเห็นใจ อยากจะช่วยเหลือเด็กหญิงที่น่ารักคนนี้ เป็นทุนแก่การรักษา หรือเป็นทุนต่อไปในอนาคต (ซึ่งไม่ทราบจะเป็นอย่างไรต่อไป) สามารถโอนเงินได้ตามบัญชีในล้อมกรอบนะคะ ชื่อเจ้าของบัญชีคือพี่ฟอง แม่ของน้องปิ่นเอง ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้แสวงประโยชน์ใดๆ ฉันเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ประการใด ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของแม่น้องปิ่นทั้งสิ้น


 


ไม่มีการระบุจำนวนเงินนะคะ มากหรือน้อยตามความพอใจ 100 – 200 ก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นข้อผูกมัดอะไรทั้งสิ้นนะคะ ฉันเพียงแต่เห็นว่า ถ้าอยากตอบแทนการอ่านค่าตัวเลข ทำบุญร่วมกันด้วยวิธีนี้ น่าจะดีทีเดียวค่ะ


 


"พี่ฟอง...อยากได้อะไรมากที่สุด ในชีวิตนี้"


"อยากให้น้องปิ่นพอทรงตัวได้...ยืนหรือเดินนั้นไม่หวังแล้ว ขอแค่เอาใส่รถเข็นแล้วตัวตั้งอยู่ได้ก็พอใจแล้ว"


 


หมายเลขบัญชีของน้องปิ่น


น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์


ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่


05-3405-20-093267-0