Skip to main content

วันวาเลนไทน์

คอลัมน์/ชุมชน

จำได้ว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันวาเลนไทน์คือวันที่ผู้เขียนบินกลับมาเมืองไทยหลังจบปริญญาเอก ที่จำได้เพราะว่าบินมาถึงแล้วต้องทำโน่นนี่ เช่นย้ายบ้าน ทำอะไรใหม่ๆ เพราะไม่ได้กลับมาเมืองไทยเป็นเวลานาน ค่อนข้างวุ่นวาย จำได้ว่าไปไหนๆมีคนพูดถึงแต่เรื่องวาเลนไทน์ จะทำอย่างไรกับวาระนี้ดี   


 


ไม่แปลกใจนักที่วันนี้เองสังคมไทยก็ยังเป็นบ้ากับการเป็นตะวันตกแบบเปลือกๆ  เช่นมีการคุมราคาดอกกุหลาบสีแดงและสีอื่นๆ ไม่ให้มีราคาเกินควร เพราะมีความต้องการในตลาดมากในวันดังกล่าว หรือช่วงเวลาดังกล่าว แถมมีการบอกด้วยว่าต้องจำนวนเท่านั้นเท่านี้ เป็นการแสดงความรักแบบไหน ต้องสีอะไร เป็นบ้าไปกันหมดแล้ว  แทนค่าความรักด้วยดอกไม้ ด้วยราคา คนรวยคือคนขายของ ส่วนคนซื้อคงต้องไม่ใช่แค่รวยอย่างเดียวต้องมีเขาติดหูด้วย


 


กว่าบทความนี้จะได้ลงก็อาจเลยวันนั้นไปแล้ว แต่ที่เขียนก็เพื่อให้มองชัดเจนได้มากขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยแบบนี้


 


ประเด็นที่เกิดขึ้นคือ เรื่องของความรักนั้น มันเป็นเรื่องอัตตวิสัย ความรักของสังคมไทยปัจจุบันเลียนแบบตะวันตกเพราะอิทธิพลจากหนังตะวันตกเป็นส่วนมาก หลายคนคิดว่าเข้าใจว่ารักต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วในทางจิตวิทยาเองก็มีปัญหาเรื่องการอธิบายเรื่องความรัก เพราะความรักแต่ละคนไม่เหมือนกัน รักแต่ละแบบก็ต่างกัน  แต่อย่างไรก็ตาม ความรักก็คือความสัมพันธ์ที่ในแต่ละอันมีองค์ประกอบ 3 อย่างหลัก คือ ความเชื่อใจ (trust) ความรับผิดชอบผูกพัน  (commitment) และ การควบคุม (control)


 


ไม่ว่าจะรักกันแบบใด ก็ต้องมีสามอย่างนี้เป็นองค์ประกอบหลัก แต่ละคู่ก็จะมีปัญหาในแต่ละเรื่องที่หนีไม่พ้นสามเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าในสังคมไทยไม่ได้มองลงไปในแต่ละคู่อย่างละเอียด แต่พยายามที่จะมองว่ารักที่ดีต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ หาความรักตัวอย่าง ซึ่งในความจริง ความรักตัวอย่างนั้นไม่มี ความรักของแต่ละคนแต่ละครั้ง ไม่มีเหมือนกันสักหนเดียว


 


จำได้ว่ามีเพลงฝรั่งที่ Helen Reddy ร้อง ชื่อว่า "I Don’t Know How To Love Him"


 


I don't know how to love him                                                                                 


What to do how to move him


I've been changed yes really changed


In these past few days


When I've seen myself


I seem like someone else


 


I don't know how to take this


I don't see why he moves me


He's a man


He's just a man


And I've had so many men before


In very many ways, he's just one more


 


Should I bring him down?


Should I scream and shout?


Should I speak of love


Let my feelings out?


I never thought I’d come to this


What's it all about?


 


Don't you think it's rather funny


I should be in this position?


I'm the one who's always been


So calm so cool no lovers fool


Running every show


He scares me so


 


Yet if he said he loved me


I'd be lost I'd be frightened


I couldn't cope just couldn't cope


I'd turn my head


I'd back away


I wouldn't want to know


He scares me so


I want him so


I love him so


 


เสียดายว่าไม่มีวิดีโอเพลงที่ เฮเลน เธอร้องมาให้ดูได้ แต่พอมีที่คนอื่นๆ เค้าร้องแล้วมาโพสต์ไว้ให้ชาวบ้านดู เช่น http://www.youtube.com/watch?v=ws6X-zV_Wgs&mode=related&search=


http://www.youtube.com/watch?v=WpbJwyc75II&mode=related&search=


ซึ่งตอนหลังนี่เอามาเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มากขึ้น เพราะตอนที่เพลงนี้ออกมาตอนแรกก็เป็นเพลงประกอบในหนัง Jesus Christ Superstar ในปี 1973 ก็เรียกว่าทำให้หลายคนดังขึ้นมาเพราะเพลงในหนังเรื่องนี้


 


ในเนื้อเพลงบอกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปชอบ"ชาย"คนหนึ่ง แต่ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะรักอย่างไร อันนี้เป็นการบอกถึงความไม่ประสีประสา ไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจกลเกมแห่งความรัก แต่ก็ถือว่าไม่ดัดจริตจนเกินไปที่กล้าออกมาประกาศโต้งๆว่า เออนะฉันไม่รู้ทำไงดี   และไม่แสดงตัวว่าฉันรักคนเป็น ฉันทำได้ เก่งไปซะหมด


 


วันนี้หลายคนทำตัวเองเป็นคนเก่ง คนฉลาดในเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ ทำให้นึกถึงหลายคนหลายแห่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ เที่ยวตอบปัญหาชาวบ้าน ทำตัวเก่งเรื่องผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง ล้วนแล้วแต่มีปัญหาส่วนตัวของตนเองทั้งสิ้น เรียกว่า"ขว้างงูไม่พ้นคอ" แต่เที่ยวประกาศตัวว่าเก่งเหลือเกิน หลายคนมีความสุขมากในการปะทะวาทะไม่ว่าเวทีใดๆ ถือว่าน่าสมเพช


 


วันวาเลนไทน์ก็คงผ่านไปทุกๆ ปี การมองและนิยามความรักก็หมุนไป ความรักวันนี้กับในอดีตไม่เหมือนกัน และแน่นอนในอนาคตก็ต่างกัน น่าตลกเสียเหลือเกินที่ผู้ใหญ่รุ่นปัจจุบันชองเหลือเกินที่จะไปห้ามเด็กเรื่องโน้นนี้แม้แต่เรื่องความรัก ความสัมพันธ์ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องโรคภัย เรื่องทางสังคมเช่นท้องก่อนแต่ง เรื่องทางศีลธรรม แถมยังด่าเด็กว่า "สำลักเสรีภาพ" โดยลืมมองไปว่าการที่เด็กเป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้ใหญ่พวกนี้แหละไม่ได้สอนเด็กให้เค้านิยามชีวิตของเขาเอง ไม่ได้สอนตนเองด้วยว่าโลกเปลี่ยนไป มัวแต่อยู่แต่ในโลกเดิมๆ ที่ไม่หมุนไปไหน ทำไมต้องให้เด็กรุ่นใหม่เหมือนตนเองในเรื่องแบบนี้ เพราะจริงๆ แล้วในโลกปัจจุบันต้องสอนให้ทำงานหนัก มีความสามารถในการคิด กลับไม่ยอมทำ สงสารเด็กรุ่นใหม่เหมือนกัน ที่จะทำอย่างไรดีในเรื่องแบบนี้ ลืมสอนไปว่าเด็กต้องมี"หน้าที่" (ซึ่งไม่ใช่ในเพลงเด็กเอ๋ย เด็กดี) และความรับผิดชอบ การที่สอนจุดนี้ได้ จะไม่ต้องมานั่งปากเปียกปากแฉะ ส่วนคนไหนทำไม่ได้ก็ต้องช่วยเต็มที่ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องให้เป็นไปตามยถากรรมจริงๆ


 


วันนี้คนแก่ๆ อย่างผู้เขียนจึงเลิกร้องเพลงที่แปะมาให้ไปนานแล้ว เพราะถ้าผู้ชายเข้ามาก็คบเอาไว้ก่อน ไม่มานั่งเหนียมอาย บอกไปเลยเอาไงก็บอกมา ความรักของผู้เขียนไม่มีคำว่า "ดัดจริต" แต่อย่างใด ส่วนวาเลนไทน์ของผู้เขียนจึงไม่ได้ต่างจากชื่อเรียกของวัน วันหนึ่งในเดือน กุมภาฯเท่านั้น