Skip to main content

เมื่อความรักงอกงาม

คอลัมน์/ชุมชน

หลายหนที่เรามองเห็นความรักของยุคสมัยของเรา  เรามักได้เห็น ได้ยินเรื่องราวที่ผู้คน ว่าก็โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว รัก และเลิกกันอย่างรวดเร็ว แล้วก็พร้อมจะมีรักใหม่อยู่เสมอ 


 


การเปลี่ยนคู่รักบ่อย ๆ ดูเป็นค่านิยมของบางกลุ่ม  ว่ากันตรงๆ ก็อย่างที่เป็นข่าว ที่เป็นแบบอย่างให้สังคมร่วมสมัยคือในแวดวงดารา นักร้อง เริ่มจากทางฝรั่งจนมาถึงสังคมไทย  แล้วก็เรียกร้องกันว่า นั่นเป็นเรื่องธรรมดา  ว่ากันไป  หากเราชอบอะไร เราก็คงเรียกร้องเช่นกันว่า นั่นเป็นธรรมดา  นั่นก็อาจไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก  เมื่อสิ่งสำคัญที่มันซ้อนซ่อนอยุ่ในเรื่องราวทั้งหลายนั้นคือ  ผู้คนของยุคสมัยของเราขาดความรัก  ผู้คนดำรงอยู่บนความซับซ้อนของสังคมอย่างเป็นปัจเจก  และเปลี่ยวเหงา จึงไม่แปลกเลยที่ต่างคนต่างก็มุ่งแสวงหาสิ่งที่จะคอยเติมเต็ม และปลอบโยน   และทั้งหมดนั้นก็ดูเหมือนว่า ความรัก และคนรักเป็นทางหนึ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวได้  แต่หลายครั้ง ความรักที่ค้นพบ และก่อเกิดขึ้นแล้วในใจ มันเป็นความรักที่เต็มไปด้วยความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว เช่นนั้นมันจึงอ่อนไหวและเปราะบางมาก


 


ติช นัท ฮันห์  เคยเล่าไว้ในงานเขียนของท่านเล่มหนึ่ง  สามี ภรรยาคู่หนึ่งทีใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานาน ร่วมกันมาทั้งสุข และทุกข์  วาระหนึ่งแห่งชีวิตที่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง  เรื่องราวมันได้บานแตกออกเป็นความขัดแย้งใหญ่หลวง  จนไกล้เข้าสู่ภาวะของการเลิกลา  เมื่อการณ์เคลื่อนเข้สู่ภาวะเช่นนี้ ต่างคนก็ยังต่างสงสัยว่า ความรักที่พวกเขาและเธอมีต่อกันนั้นยังอยู่หรือเปล่า  แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นทำไมมันถึงได้รุนแรงปานนี้  หรือว่า ความรักไม่มีอยู่แล้วจริงๆ  ใกล้จุดจบเต็มที  เมื่อวันหนึ่งฝ่ายภรรยาได้ไปพบจดหมาย  จดหมายรักเก่าๆ ที่พวกเขาเคยเขียนถึงกันและกัน เมื่อครั้งยังหวานชื่น ตอนหนุ่มสาว  เธอค่อยๆ เอาจดหมายออกมาอ่านทีละฉบับ ทีลัฉบับ  แล้วเธอก็พบว่า ความรักที่เธอมีต่อเขา และความรักที่เขามีต่อเธอนั้นมันลึกซึ้ง  เช่นนั้นแล้วจะปล่อยให้ความบาดหมางที่เป็นอยู่มาทำลายความรักของเธอและเขาได้อย่างไร  จากจดหมายรักนี้  ในที่สุดเขาและเธอก็สามารถทำลายความขัดแย้งที่ดำรงอยู่นั้น  คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์  แล้วพวกเขาก้กลับมารักกันดังเดิม


 


เมื่อโลกในยุคสมัยของเราส่งเสริมแต่พัฒนาการของสมองส่วนหน้า  อันเป็นพื้นที่แห่งความคิด และความรู้  เหตุ ผล เมื่อส่งเสริม โลกจึงให้ค่ากับความคิด ความรู้ เหตุ และผล  โดยละเคยสมองส่วนที่เป็นพท้นที่ของความรู้สึก หรือหัวใจ   เราถูกสอนให้มองความรักเป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่ให้บูชาความรู้และความเก่ง  ทั้งๆ ที่มันน่าจะเติบดตอย่างเชื่อมโยงกัน  ตั้งแต่เด็กจนโต เราผู้อยู่ร่วมในยุคสมัยของเราถูกขีดเส้น กำหนดให้เรียนรู้สิ่งที่โลก หรือสังคมต้องการ  โดยที่สุดเราก็เลยไม่รู้สิ่งที่เราต้องการไปด้วยนั่นเอง   เราจึงเป็น และเห็นชีวิตที่แหว่งวิ่น  เปลี่ยวเหงาแล้ว หรือเรายังไม่พบอีกหรือว่า ความรู้จะมากมายปานใด ก็ไม่อาจเยียวยาโลกได้แล้ว ในช่วงเวลาที่ดลกเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์มากมาย  แต่นั่นก็ดูเหมือนไม่ได้ทำให้เราได้เข้าใจอะไรไปอีกนัก  เมื่อเราก็ยังแสวงหาความรู้ต่อไปอยุ่นั่นเอง  หากผู้คนเห็นสักนิดว่า โลกมีความรู้มากมายแล้ว  มีความเก่งกล้าสามารถมากมายแล้ว  แต่สิ่งที่โลกยังขาดคือความรัก โลกก็คงจะไม่เลวร้ายปานนี้


 


หญิงสาวถามชายหนุ่มว่า...เธอจะเชื่อได้อย่างไรว่าความรักที่เขามีต่อเธอ  ความเอาใจใส่ที่เขาดูแลเธอ ความอ่อนโยน มันจะไม่จืดจางและหายไป  และความรักที่เขามีต่อเธอจะไม่พลอยหายไปด้วย   ชายหนุ่มบอกว่า  ความรักเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันย่อมดำรงอยู่เป็นนิรันดร์  ความรักที่ถูกตกแต่งด้วยปรารถนาที่เห็นแก่ตัวต่างหากที่มักเลือนหายไป  มันอาจจะมีกระมังที่ ภาระที่เปลี่ยนไปของชีวิต จะทำให้ความรักแสดงออกเปลี่ยนไป  แต่ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ความรักย่อมยังคงอยู่ 


 


ชายหนุ่มยังบอกเธอว่า  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิต เขาจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ  ด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อความรักนี้ เขาเชื่อว่า เมื่อเขาดูแลความรักด้วยทั้งหมดของชีวิตที่เขามี  เช่นเดียวกัน ความรักก็จะดูแลเขาและเธอ  เยียวยา และปลอบโยน  และนำพาเขาและเธอไปสู่ชีวิตที่งดงามได้