รักเพศเดียวกันบาปจริงหรือ: มองพระคัมภีร์ด้วยแนวคิดใหม่ (2)
คอลัมน์/ชุมชน
เลวีนิติ : กฎแห่งความบริสุทธิ์ของวงศ์วานอิสราเอล
แม้เรื่องราวของเมืองโสโดมอาจจะไม่ได้กล่าวถึงการมีเพศสัมพันธ์ แต่ในพระคัมภีร์เก่า มีจุดหนึ่งที่พูดถึงเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายโดยตรง ข้อความเช่นนี้ปรากฏอยู่ในเลวีนิติซึ่งเป็นบันทึกกฎข้อห้ามทั้งหลายของชาวอิสราเอล
เลวีนิติ 18: 22 กล่าวว่า "เจ้าอย่าสมสู่กับผู้ชายใช้ต่างผู้หญิงเป็นสิ่งพึงรังเกียจ" และ เลวีนิติ 20: 13 กล่าวว่า "ชายใดเข้านอนกับผู้ชายกระทำอย่างกับผู้หญิง ทั้งสองคนกระทำผิดในสิ่งอันพึงรังเกียจ ให้ขว้างทั้งสองคนนั้นเสียให้ตาย ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองรับผิดชอบ"
เมื่อดูข้อความทั้งสองอย่างเผิน ๆ โดยไม่เข้าใจบริบทของสังคมอิสราเอล อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจไปได้ว่า การที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากถึงขนาดที่ผู้กระทำสมควรตาย แต่เลวีนิตินั้นเป็นกฎเฉพาะของชนชาติอิสราเอล ในช่วงเวลานั้น เราจึงต้องเข้าใจบริบทของสังคมอิสราเอลประกอบด้วย
ข้อแรกที่จะนำมาพิจารณาในที่นี้คือ การลงโทษด้วยการขว้างก้อนหินถึงตาย เลวีนิติระบุถึงการกระทำอื่น ๆ ที่ต้องได้รับโทษเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น การแช่งด่าพ่อแม่ การล่วงประเวณี การมีเพศสัมพันธ์กับบุตรของตน การกระทำดังกล่าวมีโทษร้ายแรง แต่เหตุผลเบื้องหลังนั้นต่างกันไป
การแช่งด่าพ่อแม่ มีโทษร้ายแรงเพราะสังคมอิสราเอลนั้นเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ที่มีผู้ชายที่สูงอายุที่สุดเป็นหัวหน้า และเป็นผู้ครอบครองสมบัติทั้งหลายของวงศ์ตระกูล ซึ่งอาจพูดได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นหัวหน้าเผ่าที่ทำการดูแลปกครองวงศ์ตระกูล ดังนั้นการจะปกครองดูแลเผ่าได้ต้องได้รับความเชื่อฟังจากคนในตระกูล การไม่เชื่อฟังพ่อแม่นั้นเป็นการขัดต่อระเบียบของสังคม จึงสมควรได้รับโทษถึงตาย กฎเช่นนี้ถ้านำมาใช้ในปัจจุบันก็คงถือว่าเป็นความรุนแรง ในสังคมปัจจุบันพ่อแม่ทั่วไปคงไม่ยอมให้ใครเอาหินขว้างลูกจนตาย เพราะลูกแช่งด่าพ่อแม่
ส่วนการล่วงประเวณีนั้น ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ในสังคมอิสราเอลโบราณ นี่เป็นการละเมิดทรัพย์สินของผู้ชาย ซึ่งทรัพย์สินในที่นี้คือผู้หญิง การที่ต้องโทษร้ายแรงเช่นนี้เป็นเพราะ หนึ่ง ผู้ชายต้องเสียทรัพย์สินจำนวนมากในการสู่ขอผู้หญิงและการที่จะได้ผู้หญิงมาคลอดบุตรให้สืบตระกูล สอง การสืบสายตระกูลของสังคมชายเป็นใหญ่นั้นสืบสายตามผู้ชาย ซึ่งผู้ชายต้องควบคุมผู้หญิงทางด้านเพศ เพื่อให้รู้ว่าลูกที่กำเนิดมานั้น เป็นลูกของตนจริง ๆ ดังนั้น การล่วงละเมิดภรรยาของผู้อื่นจึงเป็นการทำให้สามีต้องเสียทรัพย์สิน คือเงินที่สู่ขอผู้หญิง และเสียการให้กำเนิดบุตรที่จะสืบสายตระกูล เหตุผลเช่นนี้ค่อนข้างจะห่างไกลจากสังคมในยุคนี้ ที่เห็นว่าการล่วงประเวณีเป็นการนอกใจ ผิดคำสัญญา หรือเป็นการทำร้ายอีกฝ่าย
เช่นเดียวกัน สังคมยุคนั้นก็มองการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันต่างไปจากความเข้าใจในปัจจุบัน จริง ๆ แล้วในสังคมอิสราเอลสมัยนั้น การที่ชายสองคนจะมีอะไรกันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่จะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อมีการสอดใส่อวัยวะเพศเท่านั้น นี่เป็นเพราะตามหลักความบริสุทธิ์ที่เลวีนิติสอน การปะปนของสองสิ่งเข้าด้วยกันถือว่าเป็นความไม่บริสุทธิ์ และเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ดังเช่นมีข้อห้ามในการผสมเส้นใยฝ้ายและลินินเข้าด้วยกัน มีการห้ามหว่านเมล็ดพันธุ์พืชสองชนิดในแปลงเดียวกัน หรือมีการห้ามกินหมู อูฐ กุ้ง และนกกินเนื้อ เพราะสัตว์เหล่านี้มีลักษณะปะปนหลายประการที่ไม่สามารถจำแนกได้ชัดว่าเป็นสัตว์บก สัตว์น้ำ และนก
ในสังคมอิสราเอลโบราณ มีความคิดกับเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายว่า ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายสอดใส่และผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายรับเท่านั้น ดังนั้นการที่ชายคนหนึ่งเล่นบทบาทของผู้หญิง ถือว่าเป็นการปะปนความเป็นหญิงและความเป็นชาย นี่เองที่เป็นเหตุผลว่าการกระทำเช่นนี้จึงถือว่าเป็นความไม่บริสุทธิ์
อีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้สำหรับข้อห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายก็คือ นี่เป็นการกระทำของชาวต่างชาติ วงศ์วานอิสราเอลนั้นถือว่าตนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า ซึ่งต่างจากบรรดาคนต่างชาติอื่น ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีกฎต่าง ๆ ที่ห้ามไม่ให้ทำตัวเหมือนชาวต่างชาติ และต้องรักษาเอกลักษณ์ด้านศาสนาของตนไว้อย่างเข้มงวด นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมตอนเริ่มต้นของเลวีนิติบทที่ 18 จึงกล่าวว่า
"พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เจ้าทั้งหลายอย่ากระทำดังที่เขากระทำกันในแผ่นดินอียิปต์ ซึ่งเจ้าเคยพำนักอยู่นั้น และเจ้าอย่ากระทำดังที่เขากระทำกันในแผ่นดินคานาอันซึ่งเรากำลังพาเจ้าไปนั้น เจ้าอย่าประพฤติตามกฎเกณฑ์ของเขา เจ้าทั้งหลายจงกระทำตามกฎหมายของเราและรักษากฎเกณฑ์ของเราและประพฤติตามเรา เราคือพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า"
ดังนั้นเป้าประสงค์หลักของกฎหมายของอิสราเอลคือ การทำให้อิสราเอลแตกต่างจากชาวต่างชาติ เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากการปนเปื้อนใด ๆ ชาวต่างชาติที่อิสราเอลได้พบเจอ เช่น ชาวอียิปต์และชนชาติต่าง ๆ ในคานาอัน ต่างก็มีการร่วมเพศระหว่างผู้ชายและผู้ชาย นอกจากนั้น ในคานาอันยังมีพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ที่บรรดาคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก ลุง ป้า ฯลฯ ต่างก็มาร่วมพิธีซึ่งอาจจะมีการร่วมเพศกันไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเลวีนิติจึงห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชาย และห้ามการมีเพศสัมพันธ์กับลูกของตน
อีกตัวอย่างหนึ่งที่นำมาสนับสนุนเหตุผลข้อนี้ได้ก็คือ เลวีนิติห้ามการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีประจำเดือน ซึ่งระบุโทษไว้ว่าคนที่ทำเช่นนี้ต้องถูกอเปหิออกจากชนชาติเลยทีเดียว ด้วยความเข้าใจแบบสมัยปัจจุบัน เราคงมองไม่เห็นว่าทำไมเรื่องนี้จึงมีโทษขนาดนั้น แต่ในสมัยนั้นการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีประจำเดือนถือเป็นการปฏิบัติของชาวคานาอัน ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงมีกฎห้ามไม่ให้ชนชาติตนทำตัวเหมือนชาวต่างชาติ
ดังนั้น ข้อห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายในเลวีนิติจึงเป็นข้อห้ามทางวัฒนธรรมและพิธีกรรม ไม่ใช่การตัดสินว่าตัวการกระทำนั้นเป็นความผิดบาปหรือความอยุติธรรม
อีกเหตุผลหนึ่งที่สามารถนำมาสนับสนุนข้อสรุปข้างต้นได้ก็คือ คำว่า "เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ" ที่เลวีนิติใช้อธิบายเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายนั้น ในภาษาฮีบรูใช้คำว่า toevah ซึ่งแปลว่า "ไม่สะอาด" "ไม่บริสุทธิ์" หรือ "สกปรก" ซึ่งเป็นข้อห้ามทางวัฒนธรรมและพิธีกรรม เลวีนิติไม่ได้ใช้คำว่า zimah ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่เป็นความผิด ความอยุติธรรมหรือความบาปในตัวมันเอง
หลักฐานที่สนับสนุนเพิ่มเติมคือ เมื่อพระคัมภีร์เก่าถูกแปลเป็นภาษากรีก เมื่อประมาณ 300- 150 ปีก่อนคริสตกาล คำว่า toevah ในเลวีนิติ 18: 22 และเลวีนิติ 20: 13 ถูกแปลเป็นภาษากรีกว่า bdelygma ซึ่งแปลว่า การละเมิดทางพิธีกรรม ซึ่งไม่ใช่ความผิดบาปในตัวมันเอง
ศัพท์อื่น ๆ ในภาษากรีกที่แปลว่าความผิดบาป ก็มีอยู่ เช่น anomia ซึ่งแปลว่าการทำผิดกฎ หรือความผิด ความบาป poneria ซึ่งแปลว่าการประพฤติสิ่งที่ชั่วร้าย asebia ซึ่งแปลว่า ความบาป ผู้แปลพระคัมภีร์ก็ไม่ได้ใช้คำเหล่านี้มาแปลการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายในเลวีนิติแต่อย่างใด