Skip to main content

ในวันที่กลับบ้าน

คอลัมน์/ชุมชน

กลับบ้านมาสานใจ
บอกรักไว้ให้ได้ยิน


ลูกน้อยกลับคืนถิ่น


หลังโผผินบินมาไกล


กลับมาเพื่อบอกรัก


มาหนุนตักอยู่ใกล้ใกล้


บอกรักจากดวงใจ


ให้รู้ไว้ - I love you


 


"ถึงแม่" โดย ผมเองครับ


 


……


 


กลับบ้านคราวนี้...มานานกว่าคราวก่อน


 


ที่ว่านานกว่าก่อนนั้น ก็ไม่ได้มีเทศกาลอะไรให้ต้องหยุดนานๆ ระยะยาวหรอกนะครับ เพราะจะว่าไปแล้วเชียงใหม่กับเชียงรายก็ไม่ได้ห่างไกลกันสักเท่าไหร่ ระยะเวลาเพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมงจากการโดยสารรถโดยสารประจำทางหรือที่เรียกติดปากว่ารถเมล์เขียว ก็สามารถนำพาร่างมาถึงปลายทางที่หมายไว้ได้ในพลัน


 


การกลับบ้านเพื่อมาพบเจอคนที่บ้าน มาพูดคุย ทักทาย กินข้าวด้วยกัน และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างที่คนที่อยู่ในบ้านคาดหวังให้คนที่อยู่ไกลบ้านมาปรากฏตัวเพื่อทำอะไรร่วมกันมากมายหลายอย่าง


 


ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คนที่บ้าน ทั้งพ่อ แม่และน้อง มักจะคาดหวังให้กลับบ้านบ่อยๆ สม่ำเสมอ, เมื่อก่อนที่ออกจากบ้านมาทำงานที่เชียงใหม่ในระยะแรก ก็กลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง หรือช้าสุดก็สองอาทิตย์ต่อครั้ง แต่พอนานไปๆ ระยะเวลาที่จะกลับบ้านก็ขยายออกไปเป็นเดือนละครั้ง สองเดือนครั้งบ้าง ตามเงื่อนไขเวลาที่มีไม่เท่ากันในแต่ละช่วง


 


อย่างที่รู้กันว่า หากเป็นช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่สากล ปีใหม่เมือง (สงกรานต์) นั้นถือเป็นช่วงเวลาที่มีการหยุดทำงานที่นานกว่าช่วงอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ช่วงนี้เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ไปทำงานต่างจังหวัดจะกลับบ้านอย่างพร้อมเพรียงหลายๆ คน


 


คนที่อยู่ไกลบ้านหลายๆ คนต่างต้องทำงานในที่ๆ ต่างกัน บางคนสามารถลางานได้นาน บางคนก็ตรงกันข้ามคือเจ้านายไม่ให้หยุดงานนานเท่าไหร่ เหตุบางข้อนี้จึงทำให้แต่ละคนมีเงื่อนไขต่างกัน ฉะนั้นเพื่อนๆ พี่ๆ คนไกลบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดไกลๆ เช่น กรุงเทพฯ หรือ ภาคอีสาน หรือภาคใต้ จะกลับบ้านกันนานๆ ครั้ง


 


แต่คนที่อยู่ใกล้ๆ แถวเชียงใหม่ พะเยา ลำพูน ต้องถูกคาดหวังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะใกล้เชียงรายเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ..คนที่อยู่แถวใกล้ๆ นี้ แต่ไม่ค่อยกลับบ้าน ก็เป็นเรื่องแปลกมากๆ และมีข้อสันนิษฐานสงสัยต่างๆ จากคนรู้จักประมาณว่า ทำไมไม่กลับบ้านกันบ้าง, ติดแฟนกันหรือเปล่า, งานเยอะมากเลยเหรอ ฯลฯ และ ฯลฯ


 


ผมกลับบ้านคราวนี้เพราะลางานยาวหลายสิบวัน เนื่องเพราะช่วงกุมภาพันธ์มีช่วงวันสำคัญๆ สำหรับผมหลายอย่าง คือ วันเกิด, วันวาเลนไทน์ และงานฌาปนกิจศพของท่านพระครูขันติโชติคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดแม่แก้วเหนือ ซึ่งเป็นหลวงตาของผมและหลานๆ อีกหลายๆ คน


 


เดือนกุมภาพันธ์ตั้งแต่วันที่ 14 จนถึงวันที่ 25 จึงเป็นช่วงเวลาที่จะอยู่แถวบ้านที่เชียงราย เป็นระยะเวลาที่นานมาก เท่าที่เคยได้กลับมาที่บ้าน และกลับมาคราวนี้ ผมก็ตั้งใจบวชเป็นพระ ประมาณสัก 10 วัน


 


มีเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคนงง และสงสัยว่าทำไมผมถึงบวช – ที่ผ่านมาไม่มีวี่แววว่าจะนุ่งผ้าเหลืองกับเค้าเลย แต่ทำไมมาบวชได้ บางคนที่ผมบอกว่าจะบวชก็ไม่ค่อยเชื่อ นึกว่าผมแกล้งอำ สุดท้ายก็ต้องบอกเหตุที่มาแห่งการอยู่ใต้ร่มผ้าไตรจีวร, ทั้งบวชให้พ่อ แม่, บวชให้หลวงตาที่จะมีงานในช่วงนั้น และอีกอย่างก็อยากเข้าใกล้ธรรมะมากยิ่งขึ้น


 


จำได้ว่าตอนกลับจากการปฏิบัติธรรมของท่านโกเอ็นก้า เมื่อกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้วก็ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพี่ตูน (ประธานเครือข่ายเยาวชนฯ) เพราะพี่ตูนเคยบวชมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วแนะนำว่าผมน่าจะลองบวชดูบ้าง เพราะที่ผมไปปฏิบัติธรรมของท่านโกเอ็นก้า มาก็ได้เรียนรู้ธรรมระดับหนึ่ง และการบวชน่าจะทำให้ได้อะไรอีกมาก


 


เมื่อคุยกับพี่ตูน ทั้งถกและแลกเปลี่ยนเรื่องการปฏิบัติเจริญสติภาวนา ก็คิดออกว่า ช่วงที่บวชเป็นพระน่าจะมีเวลาในการปฏิบัติธรรมมากกว่าตอนไม่ได้บวช


 


เพราะหลังจากปฏิบัติของท่านโกเอ็นก้า ท่านได้แนะว่าให้ปฏิบัติเจริญสติภาวนา อย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นช่วงเช้าหรือเย็นอย่างละหนึ่งชั่วโมง ก็ถือว่าดีแล้ว, แรกๆ ผมก็ทำได้วันสองวัน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ปฏิบัติไปเลย


 


ในกระทู้ธรรมะของท่านโกเอ็นก้าบอกว่า บรรยากาศภายนอกศูนย์ปฏิบัติธรรมนั้นเต็มไปด้วยกระแสแห่งโลภะ โมหะ โทสะ ซึ่งต่างจากที่ได้ปฏิบัติมาในช่วง 10 วันในศูนย์ ดังนั้นการปฏิบัติในบ้านหรือที่พักของตัวเอง จึงต้องสู้กับกิเลสต่างๆ เหล่านี้ ต้องฝึกเอาชนะใจตน ฝึกความอดทนหลายๆ อย่าง


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็คิดได้ว่า การเป็นพระสงฆ์น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ที่จะได้ศึกษาธรรมและปฏิบัติวิปัสสนาที่วัด ไปพร้อมๆ กับการช่วยงานฌาปนกิจศพของหลวงตา


 


ทั้งครอบครัวและญาติหลายคนก็ช่วยกันตระเตรียม อุปกรณ์ เตรียมการจัดงานบวช ส่วนผมก็ฝึกสวดมนต์ต่างๆ ให้พอจำได้ พอให้ศีลให้พรผู้คนที่จะมาเยี่ยมเยียนหาในช่วงบวช  และบวชนี้ถือว่าดีที่มีเพื่อนที่เป็นญาติกัน บวชด้วยอีกหนึ่งคน ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะมีเพื่อนคอยพูดคุยด้วยตอนอยู่วัด


 


แรกเริ่มเดิมทีผมเองตั้งใจว่าจะเขียนบทความล่วงหน้ามาให้กับประชาไท แต่ก็ไม่ทันกาลอันสมควรแก่เวลาเนื่องเพราะต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จัดการงานที่ค้างคาต่างๆ อีกเยอะ จึงอาจหายหน้าหายตาไปจากประชาไทสักสองอาทิตย์ แล้วจะกลับมาอีกครั้งตอนต้นเดือนมีนาคมนะครับ


 


พูดเรื่องกลับบ้านอีกนิด, กลับบ้านครั้งนี้ นานกว่าช่วงอื่นๆ คงจะมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าสู่กันชม...และสำหรับคนไกลบ้าน, ถ้าหากใครมีโอกาส หยุดนานๆ หลายวันก็กลับบ้านบ้างนะครับ (แถวบ้านผมส่วนใหญ่มีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่กับเด็กๆ ส่วนคนหนุ่มสาวไม่ค่อยมีมากสักเท่าไหร่) คนที่บ้านอาจคิดถึงเราอยู่...แต่ไม่กล้าบอก