Skip to main content

พ่อแม่รังแกฉัน

คอลัมน์/ชุมชน

หลายคนคงจำได้ว่าตอนเด็กๆ ได้เรียนงานเขียนเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" ผู้เขียนพอจำเรื่องได้  ตอนนั้นมองไม่เห็นประเด็นอะไรลึกซึ้งเพราะอายุเพียงแค่ 13-14  รู้เพียงว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ลูกรู้จักลำบาก เมื่อโตขึ้นก็จะเอาตัวไม่รอด พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยจนลูกตาย ดังนั้นเมื่อพ่อแม่ตายทรัพย์สินหมดลง ลูกก็จะลำบากเพราะไม่รู้จักการทำมาหากินเพื่อเอาตัวรอดได้ ไม่รู้จักขยันและอดทน เล็กไม่เป็น ไปไหนใหญ่ไปหมด คับฟ้าคับแผ่นดิน


 


อันนี้ตรงข้ามกับพ่อแม่หลายคนที่ชอบข่มขู่ลูก จนไม่สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้ มีหลายคนที่พ่อแม่ชอบสอนให้กลัวโน่นกลัวนี่ เพื่อที่จะปกครองสบายๆ ไปไหนไม่ได้ ได้แต่หมกตัวในบ้าน ไปไหนก็มีแต่คนข่มเหงได้ง่าย ตรงข้ามกับที่กล่าวมาอย่างสิ้นเชิง อันนี้พ่อแม่รังแกฉันในอีกรูปแบบหนึ่ง


 


อีกกลุ่มหนึ่งก็คล้ายกับกลุ่มแรกแต่ว่าสอนให้ลูกรู้จักคดโกงเหมือนตนเอง ให้มีความทะยานอยาก โกงได้โกง ซิกแซกได้ซิกแซก สอนลูกว่าถ้าโลกสกปรกก็สกปรกตามมันไปเลย ผู้เขียนเห็นคนหนึ่งไม่ไกลตัวเป็นแบบนี้ พ่อเป็นทนายความที่มีชื่อในด้านคดโกง ตัวลูกก็มีนิสัยโกงได้โกง ไม่มีแม้ยางอาย


 


ที่เรื่อง"พ่อแม่รังแกฉัน" โผล่ขึ้นมาในสมองเพราะว่าเป็นวันแรกที่ผู้เขียนไปงานศพของยาย ที่เป็นตัวละคอนในหลายตอนของงานผู้เขียนที่ผ่านมา งานนั้นอยู่ที่วัดนอกเมืองที่อยุธยา ในงานได้เห็นคนหลายรุ่น นับจากรุ่นลุงป้า อายุ 70 ขึ้น จนมารุ่นเล็กขนาด 5-6 ขวบ ทุกรุ่นมีปัญหา  เริ่มจากรุ่นลุงป้าน้าอาที่ไม่ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแต่มีอำนาจเพราะว่ามีลูกหลานที่ยังมีความเกรงใจ  และลุงป้าน้าอาเหล่านี้ยังทำงานกันและมีรายได้เข้าเป็นที่พึ่งให้กับลูกหลานได้ รุ่นใหญ่นี้บางคนก็ทันเกมการเมืองในชีวิต หลายคนก็ไม่ทัน แต่ที่แน่ๆ คนเหล่านี้ยังมีค่านิยมบางอย่างที่เก่าเสียจนไม่มีที่ติ น่ารำคาญ แต่ว่าผู้เขียนก็พูดอะไรไม่ได้


 


เถิบลงมาก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องของผู้เขียนซึ่งก็ขึ้นเลข 3 กันเป็นแถวๆ บางคนมีลูกเป็นวัยรุ่นแล้ว หลายคนก็ยังโสดและเป็นสาวดาวเทียมที่น่ารัก มีบ้านของผู้เขียนกับบ้านน้าชายที่ได้ส่งลูกไปเมืองนอก นอกนั้นก็ไม่ได้เรียนอะไรมากมาย แต่ก็จบ ป.ตรีกันเป็นส่วนมาก เพราะผู้เขียนไม่ได้เติบโตมากับคนพวกนี้ จึงแปลกแยกเมื่อต้องอยู่ด้วยกัน ยอมรับว่าเมื่อพูดคุยกันมีช่องว่างมากเหลือเกิน ทำให้นึกถึงว่าการที่ได้อยู่ในกรุงและได้ไปทำอะไรที่เมืองนอกทำให้มองอะไรต่างจากหลายคน


 


หลายครั้งก็บอกกับตัวเองว่าสังคมไทยไม่แฟร์ ไม่ให้คนเรียนรู้  แต่ดัดจริตอยากให้ประเทศพัฒนาแต่พัฒนาแบบบ้าๆบอๆ ให้คนรู้ว่าจะฟุ่มเฟือยอย่างไร รู้อะไรตื้นๆแล้วเชื่อกันไปหมด


 


อันนี้ต้องบอกเลยว่าถ้าผู้เขียนไปอยู่บ้านนอกจริงๆ ก็คงปรับตัวไม่ได้ ยากเหลือเกิน ทำให้รู้ว่าเสียนิสัยไปมาก ปรับตัวไม่ได้ ยอมรับว่าคนในต่างจังหวัดมีวิถีชีวิตที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับผู้เขียน นับแต่การกินการอยู่ ห้องน้ำห้องท่า และระบบการคิด ทำให้หลายครั้งก็ตลกกับนักคิดบางคนที่อยากให้เมืองไทยกลับไปเป็นแบบไทยๆ สมัยก่อน ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ร้านค้าสะดวกซื้อเต็มไปหมด ระบบการพัฒนาที่เน้นการค้าแบบเสรีทุนนิยมไปทุกหย่อมหญ้า การทำสวนกระแสในบางเรื่องเช่นเน้นความไม่อยากได้ไม่อยากมีแบบสุดโต่งคงไม่น่าจะได้ผล


 


เพราะเหตุนี้ด้วย เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานของผู้เขียนจึงเปลี่ยนไป มีความจองหองแบบไม่เข้าเรื่อง มีเด็กรุ่นหลานคนหนึ่งจองหองพองขนมาก เดินเข้ามาเพราะพ่อเด็กบอกว่าลูกจะเข้ามหาวิทยาลัย คุยกันเรื่องการเลือกเข้ามหาวิทยาลัยสมัยนี้ ผู้เขียนบอกว่าเด็กสมัยนี้ ถ้าไม่เรื่องมากและเลือกมาก ก็มีที่ให้เรียนเยอะแยะ มหาวิทยาลัยที่ไม่โด่งดังมีที่ให้เด็กทุกคนเพราะว่าต้องอยู่รอด ว่าแล้วก็ขำว่าอีกหน่อยปริญญาตรีก็คงไม่มีความหมาย เพราะสถานศึกษาเดี๋ยวนี้ก็ทำมาหากิน ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต  ดังนั้นหลายแห่งที่ดังๆ มีหลายโปรแกรมที่ไม่ผ่านแอ๊ดมิชชั่น ที่เด็กนอกโปรแกรมนั้นเรียกว่า "รถร่วมขสมก." ทำเห็นภาพชัดเจนเสียไม่มี แต่เอาเถอะ "พื้นที่การตลาด มาก่อนได้ก่อน"


 


เด็กคนนั้นยืนเงียบ พ่อแม่ไม่บอกด้วยให้ไหว้สวัสดี ผู้เขียนไม่ถือเลยเรื่องแบบนี้ ไม่เต็มใจไม่ต้องไหว้ พ่อแม่เองควรจะหัดบอกเด็กได้ว่ามารยาทเป็นอย่างไร อันนี้ผู้เขียนกว่าจะมาปากกล้าขาแข็งได้ก็เลย 30 ไปแล้ว เรียนจบมาเป็นคนทำงานและสอนหนังสือ ยืนได้ด้วยขาตนเองจึงกล้าสะบัดใส่ญาติเลวๆ แต่เมื่อเด็กๆ พ่อแม่สั่งให้ไหว้ทุกคนทั้งที่พ่อแม่เองก็เกลียดอีญาติพวกนี้ แต่ด้วยมารยาทก็ต้องไหว้จนกระทั่งมีวันหนึ่งที่ทนไม่ไหวแล้ว ผู้เขียนจึงไม่เก็บไว้ ฉะกันสักหน่อย และเลิกนับญาติกันแต่นั้นมา


 


พ่อแม่เด็กคนนี้ไม่รู้จักสอนให้เด็กมีมารยาทสังคม นอกจากนี้ ผู้เขียนรู้สึกเหมือนว่าเด็กคนนี้และญาติสายนี้จะดูถูกเกย์และกะเทย เห็นได้จากญาติผู้น้องที่เป็นสาวดาวเทียมของผู้เขียนก็ได้รับการเมินเฉยจากอีเด็กคนนี้ ความเอ็นดูที่พอจะมีให้จึงหมดลง ผู้เขียนไม่มองหน้า และไม่อยากแม้แต่จะคุยกับพ่อแม่ของเด็กเพราะไม่รู้จะคบกันไปทำไม  ในเมื่อความรู้สึกแบบนี้มันไม่ควรจะมีในหมู่ญาติ


 


ผู้เขียนขอขอบคุณพ่อแม่ผู้เขียนที่ได้เลือกชีวิตผู้เขียนให้เรียนๆ แล้วก็เรียน แล้วก็ส่งให้ผู้เขียนไปเรียนเมืองนอก ไปดัดสันดาน ไปมองอะไรข้างนอก อย่างยาวนาน  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการไปเมืองนอกคือสูตรสำเร็จ แต่หมายถึงว่าทำให้ผู้เขียนรู้จักตนเองและเข้าใจอะไรที่เกินกว่า "กะลา" โดยการลงทุนที่แสนแพง ซึ่งบางคนอาจเรียนรู้เรื่องนี้โดยไม่ต้องไปเมืองนอกก็ได้


 


หลายครั้งที่ผู้เขียนเซ็งกับการพบคนบางคน การประชุมกับคนมากหน้าหลายตา แต่ก็ต้องยอมรับและทำใจได้ว่าคนเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนหมู่มาก และต้องรู้รักษาตัวรอดแต่ต้องไม่หลอกลวงหรือใช้อำนาจในทางที่ผิด ผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงในสังคมต้องสามารถอดทนกับความต่าง (ซึ่งบางทีแสนจะไม่เข้าท่า) ของคนที่ต้องเข้ามาในชีวิตให้ได้ ความอดทนและการมีเทคนิคที่จะ"ข่มคนที่ควรข่ม ยกคนที่ควรยก" เป็นเรื่องที่ต้องมี


 


ชาตินี้ผู้เขียนคงมีลูกเองไม่ได้และไม่คิดว่าจะมี  แต่ผู้เขียนพอมีลูกศิษย์ที่พอจะเอาดีได้บ้าง ทุกวันนี้พยายามสอนให้มากที่สุด พยายามให้เกิดการเรียนรู้ ส่วนจะได้มากน้อยแค่ไหนก็คงแล้วแต่ฟ้าลิขิตให้สังคมไทยจะเป็นไปในทางใด แต่สิ่งที่จะไม่ลืมสอนเลยก็คือ ให้ศิษย์ไม่หลงไปติดกับกับกระบวนการ "พ่อแม่(และครู)รังแกฉัน" คือการให้เสรีในการคิดและให้รู้จักกับคำว่าลำบาก


 


พรุ่งนี้ (18 ก.พ.) จะต้องไปอีก คงได้มีอะไรมาเขียนได้ในโอกาสต่อไป