ความเคลื่อนไหวด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญในระดับโลก : ตัวอย่างของ The Tipping Piont
คอลัมน์/ชุมชน
ในที่นี้ จะกล่าวถึงความเคลื่อนไหวด้านพลังหมุนเวียนในระดับโลกและต่างประเทศเพียง ๓ เรื่อง แต่ละเรื่องมีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน เรื่องแรกเป็นคำพูดของผู้นำระดับประธานาธิบดีที่เกี่ยวกับพลังงานโดยรวม จะถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ของชาติก็ได้ เรื่องที่สองเป็นบทบาทของกลุ่มนักวิชาการที่มุ่งมั่นทำงานเชิงลึก แล้วเชื่อมโยงกับนักการเมืองบางพรรคเพื่อผลักดันให้เป็นนโยบายสาธารณะ ไม่ใช่ระดับประเทศนะครับ แต่เป็นระดับสหภาพยุโรปเลยทีเดียว เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องขององค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานร่วมกับชาวบ้าน องค์กรปกครองท้องถิ่น จนสามารถมีโรงไฟฟ้าที่ใช้สบู่ดำเป็นเชื้อเพลิงได้ เรามาเริ่มเรื่องกันเลยครับ
สุนทรพจน์ ประธานาธิบดีอินเดีย DR. A.P.J. ABDUL KALAM
DR. A.P.J. ABDUL KALAM ขณะกล่าวสุนทรพจน์
ในการประชุมประจำปีของสมาคมพลังงานลมโลก ที่ประเทศอินเดีย[1] ท่านประธานาธิบดี DR. A.P.J. ABDUL KALAM วัย 75 ปี ซึ่งจบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์การบิน ได้กล่าวเปิดการประชุมด้วยประโยคที่มีความสำคัญยิ่งว่า "Energy Independence is the lifeline of a nation" ซึ่งผมขอแปลความว่า "การเป็นอิสระจากพลังงานคือสิ่งที่จะช่วยให้ชาติอยู่รอดได้"
สำหรับรายละเอียดที่ว่าจะช่วยให้ชาติรอดพ้นอย่างไรนั้น ผมมีรายละเอียดที่เป็นบทความของผมเองทีละประเด็นทีละเรื่องในภาคผนวก ตอนนี้เรามาว่ากันในเรื่องใหญ่ๆ ที่ท่านประธานาธิบดีกล่าวกันต่อครับ
"ในขณะที่ทั่วโลกกำลังฉลองกับความสำเร็จที่เพิ่มสูงขึ้นชั่วขณะหนึ่งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และทางวิทยาศาสตร์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เราก็ตระหนักด้วยว่าโลกกำลังลื่นไถลลงมาในเรื่องของพลังงาน โดยพลังงานฟอสซิลที่เคยค้ำจุนชาวโลกให้ก้าวหน้ามาตลอดนั้นมีจำนวนจำกัด ถ้าชาวโลกยังคงใช้กันอยู่ในอัตรานี้ อีกประมาณ ๑๐๐ ปีก็อาจจะหมดไปจากโลก เมื่อเป็นดังนี้ เราต้องแสวงหาพลังงานหมุนเวียน ซึ่งได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากทะเล ลม และสิ่งที่ธรรมชาติสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้"
ท่านย้ำต่ออีกว่า "สิ่งที่เราต้องทำคือการปฏิรูปนโยบายและกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อที่จะเก็บพลังงานจากแหล่งดังกล่าวอย่างเร่งด่วน"
ซ้ายมือ เป็นเรื่อง "ผู้ใหญ่" ส่วนขวามือเป็น "เด็กๆ" ที่รับฟังอย่างมีอารมณ์ร่วม
ในสุนทรพจน์ของท่านประกอบไปด้วยข้อมูลที่ทันสมัยมากมาย แม้จะเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติว่าจะต้องมีทีมงานร่างสุนทรพจน์ให้ท่าน แต่ก็มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ท่านกล่าวว่า "จากการศึกษา "ของข้าพเจ้าเอง" จากเอกสารของ Global Wind Energy Outlook-
อีกตอนหนึ่งที่ท่านกล่าวเป็นภาพรวมที่น่าสนใจ ว่า "ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ความต้องการไฟฟ้าของประเทศอินเดียจะอยู่ที่ ๔ แสนเมกะวัตต์ ในขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ ๑.๓ แสนเมกะวัตต์ (เฉลี่ยเพิ่มปีละ ๕%) เพื่อความเป็นอิสระด้านพลังงาน อินเดียจะต้องให้พลังงานหมุนเวียนเข้ามีส่วนให้ถึง ๒๕% ในขณะที่ทั่วโลกได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ ๑๖%"
ในตอนท้ายของสุนทรพจน์ ท่านได้เสนอแนะในที่ประชุม ๖ ข้อ สำหรับประเทศอินเดีย ซึ่งผมขอสรุปสั้นๆ ดังนี้ คือ
๑. อินเดียมีศักยภาพที่จะติดตั้งกังหันลมถึง ๔๕,๐๐๐ เมกะวัตต์ ควรจะศึกษาไปถึงการติดตั้งนอกชายฝั่ง (off-shore) ด้วย เพราะอินเดียมีชายฝั่งยาวถึง ๗ พันกิโลเมตร ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง
๒. ควรต้องวิจัยและพัฒนาเพื่อลดต้นทุนการผลิตลงมา รวมทั้งการออกแบบด้วย
๓. ปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยละ ๒.๕ ถึง ๓.๕ รูปี งานวิจัยที่ต้องการคือการลดต้นทุนลงมาอยู่ที่ ๑.๐ ถึง ๒.๐ รูปี (หนึ่ง รูปี ประมาณ ๐.๗๕ บาท เมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐)
๔. บนเกาะและพื้นที่ห่างไกล ถ้ามีลมศักยภาพพอ ควรจะสร้างกังหันลมให้เสร็จภายใน ๓ ปี
๕.ศึกษาความเป็นไปได้ถึงการใช้กังหันลมเพื่อสูบน้ำให้เกษตรกร
๖. ควรมีการสอนระดับปริญญาโทเกี่ยวกับพลังงานลมในสถาบันทางวิศวกรรมศาสตร์ของอินเดีย
ทั้งหมดนี้เป็นวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีอินเดียเมื่อปลายปี ๒๕๔๙
ภาพนี้มาจากเอกสารในคำปราศรัยของประธานาธิบดีเนื่องในโอกาส ๕๙ ปีการได้รับอิสรภาพ (www.presidentofindia.nic.in) เป็นภาพรถไฟใช้เชื้อเพลิงจากพืช ขวามือเป็นสวนและเมล็ดสบู่ดำ ที่ท่านบอกว่าเป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวแต่อยู่ได้ ๕๐ ปี
เราไม่สามารถทราบได้ว่า มีเหตุปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ผู้นำท่านนี้มีวิสัยทัศน์ที่น่าเคารพ น่ายกย่องถึงเพียงนี้ แต่เมื่อย้อนไปศึกษาเนื้อหาในสาส์นถึงประชาชนอินเดียของท่านเนื่องในโอกาสที่ครบรอบปีที่ ๕๙ (เมื่อปี ๒๕๔๘ ซึ่งท่านได้ตั้งชื่อเรื่องว่า Energy
นอกจากนี้ เราสามารถตรวจสอบจากข้อมูลอื่นๆ แล้วพบว่า ประเทศอินเดียมีการติดตั้งพลังงานลมสูงเป็นอันดับสี่ของโลก ยังมีข้อมูลอื่นที่น่าสนใจอีกมาก[2] บอกว่า อินเดียเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีกระทรวงพลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันประชากรของอินเดียประมาณ ๑, ๑๐๐ คน ครึ่งหนึ่งยังไม่มีไฟฟ้าใช้ รัฐบาลอินเดียจึงมีแผนที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใน ๒๕,๐๐๐ หมู่บ้านทั่วประเทศ
ประเด็นที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวในเบื้องต้น ก็เพราะมีความเชื่อว่า ในการผลักดันและรณรงค์ในประเด็นสาธารณะใด ๆ ก็ตาม เราจำเป็นต้องทำให้ผู้นำเกิดความเข้าใจที่ ถูกต้องในประเด็นนั้นๆ ด้วย แต่ว่าจะทำอย่างไรนั้น ส่วนหนึ่งมีคำตอบอยู่ในเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ด้วย
การทำงานของสโมสรแห่งโรม: รูปแบบที่ควรศึกษา
ย้อนหลังไปเมื่อ 35 ปีที่แล้ว ขณะที่ชาวโลกกำลังชื่นชมกับผลสำเร็จของ "การพัฒนา" ที่เน้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ได้มีนักวิชาการของโลกกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า "สโมสรแห่งโรม (The Club of
ถ้าผมจำไม่ผิดสมาชิกของกลุ่มนี้มีเพียงหนึ่งโหลเท่านั้น ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นักอุตสาหกรรม และนักธุรกิจ เริ่มประกาศก่อตั้งครั้งแรกที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อ ๒๕๑๑
สโมสรแห่งโรมได้ออกรายงานชิ้นสำคัญที่ว่า "ขีดจำกัดของการเติบโต (Limit to Growth)" เมื่อปี ๒๕๑๕ สาระสำคัญของรายงานฉบับนี้บอกว่า "เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่ได้ เพราะทรัพยากรธรรมชาติมีจำนวนจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือน้ำมัน"
ปรากฏว่าในปีถัดมา คือปี ๒๕๑๖ ทั่วทั้งโลกก็ต้องประสบกับวิกฤติน้ำมันราคาแพงเป็นครั้งแรก โดยที่ทั่วทั้งโลกยังไม่มีใครตื่นขึ้นมาปฏิบัติการใดๆเลย
มาถึงวันนี้ สโมสรแห่งโรมได้ออกมาเรียกร้องความร่วมมือระหว่างประเทศอุตสาหกรรมในยุโรป ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางและประเทศกลุ่มแอฟริกาตอนเหนือ ( Middle East and
ถ้าฟังดูเพียงแค่นี้ก็ไม่น่าจะตื่นเต้นอะไร แต่จากคำปราศรัยในงาน "การสนทนาเรื่องพลังงานโลก ( World Energy Dialogue)" ที่เมือง
"พลังงานแสงอาทิตย์ในบริเวณพื้นที่ MENA เพียงแห่งเดียวมากกว่าที่ชาวโลกใช้อยู่ทั้งหมดถึง ๒ พันเท่า เทคโนโลยีที่ใช้เก็บพลังงานในบริเวณนี้ให้ได้สักอย่างน้อย ๑๐% นั้นปัจจุบันชาวโลกมีอยู่แล้ว ทะเลทรายที่มีขนาดเท่ากับกรุงเบอร์ลินและเมืองฮัมบวร์ก[3] ก็เพียงพอแล้วที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับชาวเยอรมนีทั้งประเทศ" เจ้าชายแห่งจอร์แดนกล่าว
"ความร่วมมือนี้ไม่ใช่ต้องการแต่พลังงาน แต่เป็นการพัฒนาและสร้างสันติภาพของโลกทั้งมวล ด้วยการเร่งสร้างความต้องการพลังงานของ จีน อินเดีย และบราซิลรวมทั้งที่อื่นๆ ไม่สามารถบรรลุได้เพียงการใช้ก๊าซและน้ำมัน ความเสี่ยงต่อเรื่องภูมิอากาศที่บอบบางต้องมีการเรียกร้องให้ลดการใช้พลังงานฟอสซิลลงมา"
"กว่า ๔๐ ปีมาแล้ว ประธานาธิบดีเคเนดี้ เคยมีโครงการอวกาศอพอลโล (US Apollo Space Programme) เพื่อฝันที่จะส่งคนไปอวกาศ วันนี้เรามีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือฟื้นความสมดุลระหว่างมนุษย์และโลกให้กลับคืนมา"
"ข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญท่านทั้งหลายให้มองทะเลด้วยสายตาแบบใหม่ คือ เป็นแหล่งพลังงานสะอาดและแหล่งน้ำจืดที่ไม่มีวันหมด ข้าพเจ้าขอเสนอโครงการ อพอลโลทะเลทราย -
ที่กล่าวมานี้ เป็นการศึกษาและคิดค้นเชิงลึกกลุ่มนักวิชาการ(ปัจจุบันมีสมาชิก ๗๒ คน) ผ่านการสำเสนอของประธานกลุ่มที่มีศักดิ์ถึงเจ้าชายของประเทศ ถ้าเปรียบกับเรื่อง The Tipping Point ก็น่าจะเหมือนกับการให้ Saleman ที่มีชื่อเสียงเป็นผู้พูด จึงทำให้เกิดการยอมรับจากสาธารณะมากขึ้น
จากเอกสารที่ผมค้นได้ในเว็บไซต์ พบว่าสโมสรแห่งโรมยังได้เคลื่อนไหวกับนักการเมืองเยอรมนี ๒ พรรค คือ พรรค Social Democrats (SPD) และ พรรคกรีน ต่อจากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวจนเป็นที่ยอมรับของสหภาพยุโรป ความสำเร็จในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญมากในการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
นี่คือการทำงานของภาคประชาชนที่น่าศึกษาเป็นตัวอย่าง
อนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องที่สาม ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า พลังงานสะอาดจากทะเลทรายคืออะไรกันแน่ ผมขอกล่าวเพียงย่อๆ ดังนี้
วิธีการก็คือ ใช้จานหรือรางรวมแสงอาทิตย์ (ดูภาพประกอบ) ที่จุดรวมแสงจะมีความร้อนสูง สูบน้ำทะเลให้ไหลผ่านตามท่อมาที่จุดรวมแสง ส่งน้ำที่ร้อนจัดนี้ไปต้มให้เดือดด้วยก๊าซธรรมชาติ (ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลบ้าง) จากนั้นเอาไอน้ำเดือดไปดันกังหันจนเกิดเป็นไฟฟ้า
ซ้ายมือ เป็นแผนผังการรับแสงและท่อน้ำ
ขวามือเป็นภาพจริงจากสหรัฐอเมริกา (สังเกตขนาดคน รถยนต์กับจานรับแสง)
วิธีการผลิตไฟฟ้าแบบนี้ นอกจากจะได้ไฟฟ้าแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนน้ำเค็มมาเป็นน้ำจืดซึ่งค่อนข้างขาดแคลนในบริเวณนั้น
สำหรับต้นทุนการผลิตไฟฟ้านั้น จากเอกสารบอกว่าอยู่ในช่วง ๑.๙๐ ถึง ๒.๔๐ บาทต่อหน่วยไฟฟ้า ซึ่งถือว่ามีต้นทุนต่ำที่สุดในยุโรป
โรงไฟฟ้าจากสบู่ดำ: มีคำตอบของท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาท้องถิ่น
เรื่องสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในบทนี้ เป็นการทำงานในกลุ่มชาวบ้านที่ยากจนของประเทศมาลี ในทวีปแอฟริกา ที่ต้องการพึ่งตนเองด้านพลังงาน โดยมีกลุ่มนักพัฒนาเอกชนเข้าไปเป็นตัวประสานงานทั้งระดับชาวบ้าน องค์กรปกครองท้องถิ่น และชาวบ้าน ตามแผนการแล้ว จะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้สบู่ดำเป็นเชื้อเพลิงในต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๐ นี้
เรื่องนี้ผมเคยนำเสนอในประชาไทแล้ว แต่ที่ยกมากล่าวถึงในที่นี้ก็เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่า กระบวนการพัฒนาควรจะเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำ นักวิชาการ นักการเมืองทุกระดับ นักพัฒนาเอกชนและชาวบ้าน
ในทัศนะของผมแล้ว ยังมีอีก ๒ ประเด็นที่เป็นปัญหาในเรื่องพลังงานที่ยังไม่ได้กล่าวถึงในบทนี้ คือ
หนึ่ง คือ การทำให้สาธารณะได้มีโอกาสถกเถียงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นพลังงานกันอย่างกว้างขวาง และ
สอง การผลักดันให้เกิดการบัญญัติไว้เป็นกฎหมาย หรือในรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยแนวนโยบายแห่งรัฐ ที่ว่า รัฐพึงส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนโดยให้ชาวบ้านสามารถผลิตพลังงานและขายได้สะดวกในระบบไฟฟ้า
โดยสรุป สำหรับคนทำงานภาคประชาสังคม ถ้าเราสามารถทำงานด้านพลังงานได้ครบถ้วนตามที่กล่าวมาแล้ว สังคมไทยคงมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเยอะเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายรายได้และสิ่งแวดล้อม