แต่งงานสีรุ้ง
คอลัมน์/ชุมชน
ยังไม่หมดเดือนแห่งความรักค่ะ วันนี้ขอเล่าเรื่องแต่งงานก็แล้วกันจะได้เข้ากับบรรยากาศ เห็นตอนวันวาเลนไทน์ มีชาย-หญิง หลายคู่จูงมือกันไปจดทะเบียน บางคู่ก็มีความพยายามมาก ปีนกันไปจดบนหน้าผา หรือดำไปจดกันใต้น้ำ บางคู่อยู่กันมาจนแก่เฒ่าแล้วเพิ่งจะมาจด ก็น่ารักกันดีนะคะ
จริง ๆ ภาพอย่างนี้ก็เห็นมาหลายปีจนชินแล้ว อาจจะชินไปแล้วด้วยว่าต้องเป็นชาย-หญิงเท่านั้นที่สามารถจูงมือกันไปจดทะเบียนได้ ขืนมีชายหนุ่มกับชายหนุ่ม หรือหญิงสาวกับหญิงสาวจูงมือกันไปขอจดทะเบียนบ้าง มีหวังคงได้เป็นข่าวฮา ๆ ใน "เก็บตก" หรือ "สะเก็ดข่าว"
แต่ก็ยังดีที่ในโลกเรานี้ยังพอมีที่ ๆ ให้คนเพศเดียวกันได้จูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสกันอยู่บ้าง คุณ ๆ อาจจะเคยได้ยินว่า ประเทศนั้นประเทศนี้ อนุญาตให้มีการแต่งงานของคนเพศเดียวกันได้แล้ว แต่จริง ๆ ในขณะนี้นั้นมีเพียงห้าประเทศเท่านั้นที่มีกฎหมายรับรองการแต่งงาน (Marriage) ของคนเพศเดียวกัน โดยเทียบเท่ากับการแต่งงานของคนรักต่างเพศ ส่วนประเทศอื่น ๆ นั้นมีแค่เพียงการจดทะเบียนกันด้วยชื่อเรียกที่ต่างกันไป เช่น Domestic Partnership, Civil Union, Civil Partnership ประเทศเหล่านี้อาจจะให้สิทธิคู่เพศเดียวกันเท่าเทียมกับคู่ชายหญิง แต่หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่าแต่งงาน สงวนคำ ๆ นี้ไว้สำหรับคู่ชายหญิงเท่านั้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะได้ไม่หัวใจวายตายไปเสียก่อน หรือกฎหมายเหล่านี้อาจจะไม่ได้ให้สิทธิคู่รักเพศเดียวกันเท่าเทียมกับการแต่งงานของคู่ชายหญิงก็ได้ รายละเอียดนั้นก็ต่างกันไปในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศที่มีกฎหมายแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะให้สิทธิเท่าเทียมกับคู่คนต่างเพศเสมอไป ซึ่งจะให้สิทธิเท่าใดก็แล้วแต่กฎหมายของแต่ละประเทศจะกำหนด
ในที่นี้เรามาดูประวัติบางแง่มุมของกฎหมายแต่งงานในห้าประเทศนั้นกัน ห้าประเทศที่ว่านี้ก็คือ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม สเปน แคนาดา และแอฟริกาใต้ ข้อมูลส่วนใหญ่เอามาจาก Wikipedia นะคะ ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็เข้าไปค้นได้
เนเธอร์แลนด์
ประเทศเนเธอร์แลนด์ แดนสวรรค์ของเพศที่แตกต่างนั้น มีประวัติศาสตร์การเรียกร้องให้มีการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันมาอย่างยาวนานแล้ว ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 80 กลุ่มเคลื่อนไหวชาวเกย์ เรียกร้องให้รัฐบาลอนุญาตให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ จน ปี 1995 รัฐบาลจึงตั้งคณะกรรมาธิการพิเศษเพื่อตรวจสอบดูถึงความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายแต่งงานของคนเพศเดียวกัน คณะกรรมาธิการพิเศษนี้สิ้นสุดการทำงานในปี 1997 และสรุปว่าควรเปิดโอกาสให้มีการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน
ในระหว่างที่รอพิจารณาการออกกฎหมายแต่งงาน มีการออกกฎหมาย Registered Partnerships ในวันที่ 1 มกราคม 1998 เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับคู่รักเพศเดียวกันในการจดทะเบียนใช้ชีวิตคู่ คู่รักต่างเพศก็สามารถจดทะเบียนภายใต้กฎหมายนี้ได้เช่นกัน
หลังการเลือกตั้งในปี 1998 รัฐบาลให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการออกกฎหมายแต่งงานให้กับคนรักเพศเดียวกัน เดือนกันยายน ปี 2000 ร่างกฎหมายได้รับการพิจารณาในสภา และผ่านการอนุมัติของสภาในวันที่ 19 ธันวาคม 2000 ในช่วงนั้นพรรคการเมืองฝ่ายคริสต์ผู้คัดค้านการแต่งงานของคนเพศเดียวกันเสมอมา ไม่ได้เป็นรัฐบาล กฎหมายก็เลยออกมาได้ แต่พรรคเหล่านี้ในฐานะที่เป็นพรรคฝ่ายค้านก็ออกเสียงคัดค้านกันเต็มที่ แต่เสียงน้อยกว่าก็เลยพ่ายฝ่ายรัฐบาลไป
กฎหมายแต่งงานนี้ให้สิทธิกับคู่เพศเดียวกันเท่าเทียมกับคู่ต่างเพศทุกประการ ยกเว้นในกรณีเดียวคือ การรับบุตรบุญธรรม คือในกรณีผู้หญิงสองคนแต่งงานกัน ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งมีลูก ภรรยาของเธอจะยังไม่ถือว่าเป็นแม่หรือพ่อของลูก คือจะเป็นแค่แม่เลี้ยงตามกฎหมาย จนกว่าเธอจะทำการรับลูกคนนั้นมาเป็นลูกบุญธรรมเสียก่อน แล้วกฎหมายก็จะนับว่าเธอเป็นแม่คนที่สอง
ตามสถิติ ตั้งแต่กฎหมายฉบับนี้ออกมาจนถึงเดือนมีนาคม 2006 มีคู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนแต่งงานไปแล้วมากกว่า 6,000 คู่
เอ แล้วคนไทยจะไปแต่งงานที่เนเธอร์แลนด์ได้หรือเปล่าเนี่ย ?
ตามกฎหมายแล้วอย่างน้อยต้องมีคนหนึ่งในคู่แต่งงานมีสัญชาติดัทช์หรือเป็นชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เพราะฉะนั้นคนไทยสองคนอยู่ ๆ จะบินไปแต่งงานที่นั่นเลยไม่ได้นะคะ และแม้ว่าแต่งงานกันถูกต้องตามกฎหมายดัทช์แล้วก็ตาม ก็ไม่รับรองนะคะว่าประเทศอื่น ๆ เขาจะรับรองการแต่งงานนี้ด้วยหรือเปล่า อย่างถ้าสาวไทยไปจดทะเบียนสมรสกับสาวดัทช์ เสร็จแล้วจะกลับมาอยู่เมืองไทย สาวดัทช์นั้นก็ไม่สามารถเข้าเมืองในฐานะภรรยาของสาวไทยได้ เพราะกฎหมายไทยเราไม่รับรอง
เบลเยี่ยม
ต่อมาเป็นประเทศที่สอง ประเทศเบลเยี่ยมค่ะ ประเทศนี้มีกฎหมายรับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกันมาตั้งแต่ วันที่ 30 มกราคม 2003 เช่นเดียวกับเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยมก็ออกกฎหมายแต่งงานได้ตอนที่พรรคการเมืองฝ่ายคริสต์ไม่ได้เป็นรัฐบาลเช่นกัน ในตอนแรกนั้นกฎหมายแต่งงานของเบลเยี่ยมอนุญาตให้คู่ชาวต่างชาติมาแต่งงานที่เบลเยี่ยมได้ถ้าประเทศต้นสังกัดของทั้งสองอนุญาตให้มีการจดทะเบียนระหว่างคนเพศเดียวกัน คนก็เลยจดทะเบียนกันน้อยนิด ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ปี 2003 ถึงเดือนเมษายนปี 2004 มีเพียง 300 คู่เท่านั้น นับเป็น 1.2 เปอร์เซนต์ของ คู่แต่งงานทั้งหมดในเบลเยี่ยม
จนเดือนตุลาคม ปี 2004 มีการแก้กฎหมาย อนุญาตให้ใครก็ได้มาแต่งงาน มีข้อแม้คือ ต้องมีคนหนึ่งอยู่ในเบลเยี่ยมมาเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน คราวนี้ก็เลยมีคนมาแต่งงานกันมากขึ้นค่ะ จนถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2005 มีคู่แต่งงานเพศเดียวกันทั้งหมดในเบลเยี่ยม 2,442 คู่
ในตอนแรกกฎหมายแต่งงานนี้ก็ยังไม่อนุญาตให้คู่พ่อ-พ่อ แม่-แม่ รับบุตรบุญธรรม แต่ในที่สุดก็มีการแก้กฎหมายอนุญาตให้คู่เพศเดียวกันรับบุตรบุญธรรมได้ เมื่อเดือนเมษายน 2006
สเปน
รัฐบาลสังคมนิยมของสเปนเป็นรัฐบาลที่สามในโลกที่ผ่านกฎหมายแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ปี 2004 เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Jose Luis Rodriguez Zapatero ก็เริ่มเดินหน้าออกกฎหมาย มีการถกเถียงกันอย่างมากมาย เพราะเหตุว่าประเทศสเปนเป็นประเทศคาทอลิก ฝ่ายศาสนจักรก็คัดค้านอย่างเต็มที่ พระสันตะปะปาองค์ที่แล้ว คือ จอห์นปอลที่สอง ทรงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ เพราะกลัวว่าจะเป็นการทำให้คุณค่าของสถาบันครอบครัวอ่อนแอลง พระสันตะปะปาองค์ปัจจุบันก็ทรงคัดค้านเช่นกัน
แต่จนแล้วจนรอด กฎหมายนี้ได้คลอดออกจากสภาในวันที่ 2 กรกฎาคม 2005 ส่วนฝ่ายคัดค้านก็ยังคงคัดค้านกันต่อไป มีการเดินขบวนคัดค้านกันใหญ่โต ส่วนฝ่ายสนับสนุน ก็มาร่วมเดินงานไพรด์กันอย่างใหญ่โตพอกัน
กฎหมายแต่งงานของสเปนรับรองการรับบุตรบุญธรรมของคู่รักเพศเดียวกัน และอนุญาตให้ชาวสเปนแต่งงานกับชาวต่างชาติได้ และให้ชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยในสเปนแต่งงานกันได้เช่นกัน ที่พิเศษกว่านั้นคือ กงสุลสเปนในประเทศหรือเมืองที่ยอมรับการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันก็สามารถทำการแต่งงานระหว่างคนสเปนและคนของประเทศนั้นหรือเมืองนั้นได้ คือว่าคนหนึ่งในคู่นั้นต้องถือสัญชาติสเปน ปัจจุบันประเทศหรือเมืองที่ว่านี้คือ บอสตัน บรัสเซลส์ อัมสเตอร์ดัม โตรอนโต มอนทรีออล ออตตาวา และเคปทาวน์ ประมาณว่าในปีแรกหลังการออกกฎหมาย มีคู่รักเพศเดียวกันแต่งงานแล้ว 4,500 คู่
แคนาดา
วันที่ 20 กรกฎาคม 2005 แคนาดากลายเป็นประเทศที่สี่ที่รับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ในกรณีของแคนาดานับว่าน่าสนใจเพราะในปี 2004 ศาลเป็นผู้ชี้ขาดว่าการแต่งงานของคนเพศเดียวกันเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลกลางเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบเปลี่ยนคำนิยามของการแต่งงานให้ครอบคลุมถึงคนเพศเดียวกัน
กรณีนี้คล้าย ๆ กับการที่รัฐแมสซาชูเซ็ตของสหรัฐต้องอนุญาตให้มีการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ก็เพราะศาลออกมาชี้ขาดเช่นกัน แต่อยู่ดี ๆ ศาลท่านก็คงไม่ออกมาตัดสินอะไรเช่นนี้หรอกนะคะ เป็นคนรักเพศเดียวกันนั่นเอง ที่ไปฟ้องศาลว่าตนถูกลิดรอนสิทธิในการแต่งงาน แล้วให้ศาลพิจารณาตัดสิน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายต่อไป
กลับมาที่แคนาดา ก่อนหน้าที่ทุกรัฐของแคนาดาจะรับรองการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน ศาลของบางรัฐได้มีคำสั่งให้รัฐออกกฎหมายแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน เพราะถือว่าการปฏิเสธสิทธิการแต่งงานของคนเพศเดียวกันเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ จนเมื่อกฎหมายที่เรียกว่า Civil Marriage Act ออกมาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2005 ก็ทำให้การแต่งงานของคนเพศเดียวกันถูกกฎหมายในทุกรัฐ
กฎหมายของแคนาดาอนุญาตให้ผู้ถือสัญชาติแคนาดาหรือผู้ที่พำนักอาศัยเป็นการถาวรในแคนาดา แต่งงานกับชาวต่างชาติและชาวต่างชาตินั้นสามารถขอสัญชาติแคนาดาได้ ปัจจุบันการแต่งงานของคนเพศเดียวกันจากประเทศอื่น ยังไม่ได้รับการยอมรับในแคนาดา วันที่ 12 ธันวาคม 2006 มีการเสนอในรัฐสภาให้รับรองคู่สมรสเพศเดียวกันจากประเทศอื่น ดังเช่นที่ยอมรับคู่สมรสต่างเพศจากประเทศอื่น
เสียงคัดค้านการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันส่วนใหญ่ก็มาจากฝ่ายศาสนาคริสต์เช่นเดียวกันประเทศอื่น ๆ ที่ว่ามาแล้ว ศาสนจักรคาทอลิกเป็นผู้นำการคัดค้าน นิกายนี้มีผู้นับถือประมาณ 43 % ของประชากรทั้งหมด ก็นับว่าใหญ่ทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคัดค้านหมดนะคะ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าฝ่ายศาสนจักรไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องการเมืองเช่นนี้ด้วยซ้ำไป
ส่วนฝ่ายโปรแตสเตนท์ โดยเฉพาะนิกายที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดาคือ The United Church of Canada ให้การสนับสนุนและยังเปิดโบสถ์ในคู่รักเพศเดียวกันทำพิธีแต่งงานอีกด้วย ยังมีนิกายอื่น ๆ ที่ให้การสนับสนุน เช่น ผู้นำแนวทางสันติวิธีอย่าง Quakers, ฝ่ายคริสต์หัวก้าวหน้าอย่าง Unitarian Universalist, หรือ นิกายที่ตั้งขึ้นมาโดยคนรักเพศเดียวกันอย่าง Metropolitan Community Church, และบางส่วนของ Anglican Church
แอฟริกาใต้
แอฟริกาใต้เป็นประเทศน้องใหม่ล่าสุด ที่ประกาศรับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน และถือว่าเป็นประเทศแรกในแอฟริกาที่มีกฎหมายเช่นนี้
จะว่ากันไปแล้วแอฟริกาใต้ไม่ใช่เป็นประเทศน้องใหม่ในเรื่องสิทธิของคนรักเพศเดียวกันแต่อย่างใด ก่อนหน้าที่แอฟริกาใต้จะยกเลิกนโยบายแบ่งแยกสีผิว เกย์ เลสเบี้ยนได้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อยุติการแบ่งแยกสีผิวเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนรักต่างเพศเสมอมา จนทำให้สิทธิของคนรักเพศเดียวกันได้รับการยอมรับในขบวนการยุติการแบ่งแยกสีผิว ในสมัยนั้น Thabo Mbeki (ผู้เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบัน) ได้กล่าวว่า พรรค African National Congress (ANC) ยึดมั่นที่จะลบล้างการเลือกปฏิบัติและการกดขี่ทุกรูปแบบ และแน่นอนว่าคำมั่นนี้จะรวมไปถึงการคุ้มครองสิทธิของคนรักเพศเดียวกันด้วย
เมื่อนโยบายแบ่งแยกสีผิวถูกล้มล้างไปแล้ว เนลสัน แมนเดล่าได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขากล่าวในวันเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 1994 ว่า คนรักเพศเดียวกันจะได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันด้วย เมื่อแอฟริกาใต้มีรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐธรรมนูญจึงระบุชัดเจนว่า ห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลอันเนื่องมาจากวิถีทางเพศ (Sexual Orientation) ของบุคคลนั้น นับว่าแอฟริกาใต้เป็นประเทศแรกในโลกที่มีรัฐธรรมนูญที่ให้ความคุ้มครองอย่างชัดเจนต่อคนรักเพศเดียวกัน
กลับมาที่เรื่องแต่งงานนะคะ ขอย้อนกลับไปเพื่อดูประวัติความเป็นมา ปี 1999 ศาลรัฐธรรมนูญรับรอง Civil Unions ระหว่างคนเพศเดียวกัน ปี 2002 มีการอนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ และในปีนี้ ศาลสูงของแอฟริกาใต้ใน
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2004 ศาลฎีกาของแอฟริกาตัดสินว่า คำว่าแต่งงานในกฎหมายจะต้องเปลี่ยนให้รวมถึงคนรักเพศเดียวกันด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกันค่ะ อยู่ ๆ ศาลท่านคงไม่ออกมาประกาศเช่นนี้ กรณีนี้เป็นผลมาจากการฟ้องร้องของหญิงรักหญิงคู่หนึ่ง ที่ต้องการสิทธิในการแต่งงาน
วันที่ 1 ธันวาคม 2005 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า การกีดกันการแต่งงานของคนเพศเดียวกันนั้น เป็นการทำให้คู่รักเพศเดียวกันเป็นคนอื่น และว่ากฎหมายแต่งงานที่มีอยู่ในขณะนั้น ให้การรับรองและความคุ้มครองความรักในฐานะมนุษย์ของคนเพศเดียวกันด้อยกว่าคู่คนรักต่างเพศ ศาลให้เวลารัฐบาลหนึ่งปีในการแก้ไขนิยามของการแต่งงาน
แน่นอนค่ะว่าขณะที่ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนกฎหมายการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะทำให้สิทธิของคนในประเทศได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น อีกฝ่ายก็ออกมาคัดค้าน ทางพรรคการเมืองฝ่ายคริสต์ถึงกับเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและนิยามว่าการแต่งงานนั้นเป็นไประหว่างหญิงและชายเท่านั้น แต่ข้อเสนอนี้ก็ตกไป ฝ่ายมุสลิมก็คัดค้านเพราะถือว่า การแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันไม่ใช่วัฒนธรรมของแอฟริกา แต่เป็นของนำเข้าจากตะวันตก
อย่างไรก็ดี กฎหมายฉบับนี้ก็ผ่านออกมาจนได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2006 ทันเวลาพอดีก่อนจะครบกำหนดของศาล
กลับมาที่บ้านเราบ้าง หวังว่าสักวันคู่รักเพศเดียวกันคงจะมีโอกาสจูงมือกันไปจดทะเบียนกับเขาบ้าง แต่ก็อย่างที่ประเทศอื่น ๆ มีประสบการณ์ อยู่ ๆ คงไม่มีใครลุกขึ้นมามอบสิทธิการแต่งงานใส่พานมาให้พวกเรา สภานิติบัญญัติที่ยังงง ๆ แม้แต่เรื่องสิทธิสตรีคงอีกนานกว่าจะเข้าใจสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ศาลรัฐธรรมนูญเองก็คงไม่ลุกขึ้นมาเปิดประเด็นว่า การปฏิเสธการแต่งงานให้คนเพศเดียวกันเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ
ก็คงต้องเป็นคนรักเพศเดียวกันนี่เองที่ต้องมาคุยกันว่าจะเอากฎหมายแต่งงานไหม หรือจะเอากฎหมายคู่ชีวิตแบบอื่นที่ไม่ต้องใช้คำว่าแต่งงาน แล้วจะให้กฎหมายนั้นคุ้มครองสิทธิอะไรบ้าง แล้วก็ค่อย ๆ ให้ความรู้ความเข้าใจกับคนที่ยังงง ๆ
ถึงรัฐธรรมนูญเราจะเป็นอนิจจัง แต่จะว่าไปเรามีข้อได้เปรียบประเทศคริสต์ที่เขามีฝ่ายคัดค้านการแต่งงานของคนเพศเดียวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บ้านเรานั้นถึงคนจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้รวมตัวกันต่อต้านอย่างตรงไปตรงมา ในด้านวัฒนธรรมแล้วการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันยังพอมีที่ทางอยู่ มีการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อย โดยเป็นการจัดพิธีกันตามประเพณี มีทั้งการสู่ขอ แห่ขันหมากเรียบร้อย เพียงแค่ไม่ได้ให้กฎหมายรับรองอะไร ยังไม่เห็นมีใครลุกขึ้นมาต่อต้านหรือเดินขบวนขับไล่ อย่างมากก็เห็นเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ซึ่งน่าจะชี้ได้ว่าคนบ้านเราส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดว่าการแต่งงานของคนเพศเดียวกันเป็นการกระทำที่ผิดต่อหลักศาสนา อย่างที่ในประเทศคริสต์เขาคิดกัน
ด้วยข้อได้เปรียบเช่นนี้ ก็น่าจะคาดเดาได้ว่า การดำเนินการออกกฎหมายแต่งงานหรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม น่าจะถูกคัดค้านน้อยกว่าในต่างประเทศ
คราวนี้ก็อยู่ที่ว่า จะมีใครลุกขึ้นมาดำเนินการหรือเปล่า