Skip to main content

เด็กชายหาปลาแห่งสาละวิน

คอลัมน์/ชุมชน

หาดทรายสีน้ำตาลทอดยาวไปตามริมฝั่งลำน้ำ เป็นเสมือนการเริ่มต้นบทละครแห่งการจากพรากของฤดูกาล สายน้ำหน้าแล้งเชี่ยวกรากยิ่งกว่าหน้าฝนที่ผ่านมา ไอหมอกระรื่อระบัดระบายสีขาวเหนือสายน้ำ เสียงไม้พายเรือตกกระทบกับสายน้ำจากแรงคนดังผ่าสายลมหนาวมาแผ่วเบา ความหนาวเย็นยังคงไม่จางหายไปจากยามเช้าของฤดูหนาว แต่ในความหนาวเย็นนั้น มันกลับปลุกห้วงหัวใจของคนบางคนให้ตื่นขึ้นมา


           


การตื่นเช้าในฤดูหนาวมันช่างเป็นความทรมานสิ้นดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ แล้ว ในฤดูหนาวเป็นฤดูกาลที่พวกเขาจะได้นอนหลับอบอุ่นใต้ผ้าห่มผืนหนา แต่หากว่านั้นอาจเป็นเรื่องราวของเด็กคนอื่น แต่สำหรับปรีชาเด็กชายวัย ๑๑ ขวบแล้ว ตอนนี้เขากำลังอยู่บนเรือ ซึ่งมันค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนสายน้ำด้วยความเชื่องช้า ด้วยแรงพายที่มีเพียงน้อยนิดของปรีชา เรือจึงไม่สามารถที่จะไปได้เร็วกว่านี้ บนเรือลำนั้น


 


นอกจากจะมีปรีชาแล้วยังมีอเนกเด็กชายวัยใกล้เคียงกันกับปรีชา ทั้งสองคนกำลังเดินทางออกสู่สายน้ำ แม่น้ำสายนี้ในมิติทางรัฐชาติแล้ว มันคือแม่น้ำที่กั้นพรมแดนแผ่นดินทั้งสองฝั่ง แต่สำหรับเด็กชายทั้งสองแล้ว แม่น้ำเป็นพรมแดนแห่งรัฐชาติที่พวกเขาคุ้นเคย...


           


แม้ว่าความหนาวเหน็บยังไม่จางหายไปจากยามเช้า แต่ดูเหมือนว่าเด็กชายทั้งสองจะคุ้นชินกับความหนาวเย็นนั้นเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะทั้งสองเกิดในหมู่บ้านริมฝั่งน้ำ พวกเขาจึงคุ้นชินกับสายน้ำที่เก็บความหนาวเย็นของมันเอาไว้ตลอดเวลา


           


สายน้ำหมุนวนใกล้แก่งสำหรับผู้เพิ่งเดินทางผ่านมามันดูน่ากลัวไม่น้อย แต่สำหรับผู้คุ้นชินอย่างเด็กทั้งสอง มันดูน่ากลัวสำหรับทั้งสองหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เรือลำน้อยคล้ายเรือแคนู แต่ด้านข้างสูงกว่า และท้องแบนกว่า แปลกแต่จริงว่า สายน้ำที่มีอยู่หลายสาย เรือบางชนิดก็ไม่เหมาะสมที่จะนำไปวิ่ง เพราะอาจเกิดอันตรายได้ อย่างแม่น้ำสายนี้ก็เช่นกัน เรือที่จะนำมาวิ่งใช้ในแม่น้ำได้ต้องเป็นเรือท้องแบนที่กินน้ำเพียงผิวน้ำเท่านั้น...


           


ตามความจริงแล้วหากเป็นเมื่อ ๕-๖ ปีก่อนที่การสู้รบยังมีอยู่ตามแถบถิ่นนี้ เด็กทั้งสองคงไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งเรือไปบนสายน้ำได้ แต่หลังจากสงครามบนฝั่งพรมแดนตะวันตกเงียบลง (ไม่ได้หมายความว่ามันสงบ) เด็กทั้งสองจึงมีโอกาสได้ออกเรือสู่สายน้ำ


           


หากพูดเรื่องสงครามแล้ว เด็กทั้งสองอาจไม่เคยได้รับรู้มัน และที่ไกลกว่านั้นคือเด็กทั้งสองไม่อาจรับรู้ว่า ไกลออกไปมีเด็กรุ่นราวคราวเด๊ยวกันพูดภาษาคล้ายกันกับพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานเพราะสงคราม และบางในชีวิตรู้จัดแต่เพียงการหนี และการรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัยจากการสงครามครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น


             


จุดหมายปลายทางของอเนกและปรีชาอยู่ตรงแก่งหินที่ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำข้างหน้า ที่ตรงนั้นมันมีจา (อวน) ดักปลารอพวกเขาอยู่ การเริ่มต้นของการเป็นคนหาปลาของทั้งสองคนในวันที่ความหนาวมาเยือนจึงเกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อเรือเข้าใกล้แก่งหินมากขึ้น นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับเด็กทั้งสอง มันอาจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้


 


...


           


หลังจากเรือค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาเป้าหมายของมันอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดหมายตรงที่มีเครื่องมาหาปลาของพวกเขารออยู่ อเนกก็กลายมาเป็นนายท้ายเรือไปโดยปริยาย ส่วนปรีชาเป็นคนที่ต้องทำหน้าที่พรานปลาผู้จะต้องนำปลาที่ติดอยู่ในอวนดักปลาของเขาขึ้นมาจากน้ำ


           


สายหมอกยามเช้ายังคงโปรยสายลงมาคล้ายสายฝน ความหนาวเหน็บของมันยิ่งเพิ่มขึ้นทุกขณะ แต่ความหนาวนั้นหาได้เป็นอุปสรรคสำหรับทั้งสอง พวกเขาจึงทำงานเหนือสายน้ำท่ามความเหน็บหนาวได้อย่างไม่หวั่นหวาด


           


ในยามที่สายน้ำยังคงไหลเอื่อยไปอย่างช้าๆ ชั่วขณะแห่งการเดินทางของเรือกับคนออกจากท่าสู่แม่น้ำ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของทั้งสองคนคิดอะไรอยู่ พวกเขาคิดถึง ความสุข, ความทุกข์ ความเศร้าหรือแม้แต่ดีใจ เสียใจ การแสดงออกซึ่งอาการเหล่านั้น บางครั้งมันไม่ได้แสงดออกมาทางร่างกาย แต่มันกับถูกเก็บงำไว้ภายใต้ความเยาว์ของพวกเขา


           


ปรีชายกปลาตัวหนึ่งที่เพิ่งปลอดออกมาจากตาข่ายส่งมาให้อเนกซึ่งตอนนี้กำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ท้ายเรือ ปลาสีดำตัวนั้นแม้ไม่ใหญ่มาก แต่มันก็คงสร้างความดีใจแห่งกับทั้งสองได้พอสมควร เพราะว่าตอนนี้บนฝั่งมีคนรอซื้อปลาจากพวกเขาทั้งสองคนอยู่แล้ว ในห้วงยามอย่างนี้ปรีชาและอเนกคงคิดถึงขนมหลากสี ซึ่งกำลังจะได้มาจากการแลกเปลี่ยนด้วยปลาตัวนี้ หรือว่าบางทีพวกเขาอาจไม่ได้คิดถึงขนมหลากสี แล้วพวกเขาจะคิดถึงอะไรกันเล่า...


           


ทั้งสองคนอาจจะไม่รู้จักไก่ทอด KFC และอาหารจานด่วนสีสันหลากตาหรือแม้แต่สุกี้รสเลิศ แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้ว่า ในยามใดต้องหาปลาด้วยวิธีการอย่างไร และปลาที่ได้เป็นปลาชนิดไหน ทำอาหารอะไรอร่อย แน่นอนพวกเขาย่อมรู้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะพวกเขาเป็นคนหาปลานั่นเอง


           


ชีวิตของปรีชาและอเนกไม่ใช่เรื่องราวที่เด็กคนอื่นหรือแม้แต่ผู้ใหญ่บางคนจะจับต้องไม่ได้ เพราะเรื่องราวของพวกเขาเป็นเรื่องราวชีวิตของคนที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านริมแม่น้ำ ซึ่งยังคงหลงใหลอยู่กับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติโดยมีสายน้ำเป็นแม่ และมีภูเขา ป่าไม้เป็นพ่อ หากเปิดดวงตาก็จะมองเห็น หากเปิดหัวใจเรื่องราวของพวกเขาก็จะพุ่งทะยานเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจได้ไม่ยาก


           




 


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แสงแดดของยามเช้าเริ่มส่องประกายเล็ดลอดไอหมอกออกมา เรือและคนหาปลาก็เริ่มเดินทางกลับมายังฝั่งอีกครั้ง รอยยิ้มน้อยๆ ปลุกดวงใจน้อยๆ ของทั้งสองให้ตื่นขึ้นมารับกับยามเช้าที่สดใสอีกหนึ่งวัน แต่พรุ่งนี้ไม่มีใครรู้ว่า รอยยิ้มแบบนี้จะกลับมาอีกหรือเปล่า เพราะปลาใช่ว่าจะหาได้ทุกวัน การออกเรือไปหาปลาก็เหมือนกับการฝากชีวิตไว้กับการเสี่ยงโชค เพราะปลามันว่ายวนเวียนอยู่ในแม่น้ำซึ่งกว้างใหญ่ ถ้าวันไหนได้ปลาก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ปลาก็ต้องบอกว่า พรุ่งนี้เอาใหม่นั่นเอง


           


"ผมหาปลาอยู่ริมฝั่งใกล้ๆ กับหมู่บ้าน เพราะถ้าเป็นฝั่งโน้น (พม่า) น้ำแรงไม่กล้าไป แต่ถ้าไปกับพ่อไปอยู่ วันนี้ได้ปลาด้วย ตอนเย็นก็ต้องได้อีก" ปรีชาบอกกับคนที่เฝ้ารอซื้อปลาจากเขาที่อยู่บนฝั่งด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่น ก่อนที่เขาจะยิ้มเริงร่าอวดฟันหลอหลายซี่ของตัวเอง...


           


ครั้งหลังสุดที่ฉันพบอเนก หลังการพูดคุยกัน เขาไม่ได้ออกหาปลาอีกแล้ว และเขาไม่ใช่เด็กชายอเนกเด็กชายตัวเล็กอีกต่อไป เขาเป็นอเนกที่ร่างกายอวบอ้วนสมบูรณ์ สาเหตุที่อเนกไม่ได้ออกหาปลาก็เนื่องจากพ่อของเขาได้ซื้อเรือเพื่อมาวิ่งรับ-ส่งคนโดยสาร และในอนาคต อเนกก็คือผู้สืบทอดเรือลำนั้น วันที่ฉันเดินทางกลับมาจากแม่น้ำพรมแดนตะวันตก หัวเรือที่ฉันนั่งมาจึงมีอเนกนั่งมาด้วย ส่วนท้ายเรือเป็นเซเซพ่อของเขา


 




           


ไม่มีใครล่วงรู้อนาคตอันไกลโพ้นได้อย่างแท้จริง แต่ฉันกลับมั่นใจว่าในอนาคตอันไกลโพ้น ฉันคงได้มีโอกาสนั่งเรือที่อเนกเป็นคนขับสักครั้ง...


 


 


** รูปภาพประกอบจาก โครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต