Skip to main content

เรา ‘กิน’ อะไร?

คอลัมน์/ชุมชน

สงสัยว่าช่วงนี้ คงจะเป็นช่วงฟื้นฟูตัวเองของผม เพราะได้มีโอกาสรับความรู้เรื่องจิต, ชีวิต, ธรรมชาติ ค่อนข้างจะถี่ จริงๆ แล้ว ผมเองก็สนใจเรื่องนี้มาตลอดนะครับ แต่ยังทำไม่ได้สักที หรือหากทำ ก็ทำแบบที่ขาดความเข้าใจอย่างครบถ้วน หลายครั้งจึงไม่ต่อเนื่อง พักๆ ก็เลิก แต่มาระยะหลังได้รับข้อมูลมากขึ้น ประกอบกับเข้าใจมากขึ้น จึงได้ปฏิบัติจริงจังขึ้นบ้าง


 


ที่ว่าจริงจังนี้ ก็ไม่ถึงกับ ชีวจิต หรอกนะครับ เพียงแต่ลดอาหารหลายประเภทไป หันมาทานผักผลไม้มากขึ้นเท่านั้นเอง


 


เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปฟังเวทีเสวนาเรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้มีความสุขมา มีวิทยากรท่านหนึ่ง พูดถึง "หมูกะทะ" อาหารยอดนิยมของคนในยุคปัจจุบัน คิดว่าหลายท่านก็คงไปใช้บริการกันอยู่บ่อยๆ ร้านลักษณะนี้ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็เปิดขายกันแทบจะทุกมุมถนน ผมเอง นานๆ ก็ไปสักทีเหมือนกัน ครั้งล่าสุดที่ไป สังเกตว่า ถ่านที่เขาใช้นั้น เป็น "ถ่านอัด" ที่ให้ไฟแรงและนาน อยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ ด้วยความไม่รู้ ก็คิดไปว่า เดี๋ยวนี้เขาทันสมัยดีนะ ใช้ถ่านอัดไฟแรงเลย แล้วก็ได้มารับทราบความจริงจากเวทีที่กล่าวถึงข้างต้นนี่ละครับ วิทยากรท่านบอกว่า ทราบหรือไม่ว่า ถ่านอัดที่ใช้ตามร้านหมูกะทะนั้น ทำมาจากเศษ "ถ่านหินลิกไนต์" ซึ่งขณะที่มันถูกเผาไหม้นั้นมันก็จะปล่อยสารโลหะหนักปนเปื้อนออกมาด้วย โลหะหนักนี่ละครับ สารก่อมะเร็งชั้นดีเลย


 


ไม่ใช่แค่ถ่านเท่านั้น ทุกวันนี้ เนื้อสัตว์แทบทุกประเภท ล้วนเต็มไปด้วยสารเคมี อย่างสารเร่งเนื้อแดง หรือ สารเร่งการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ไก่" ที่ปีกจะถูกฉีดวัคซีน ส่วนที่หัวก็ถูกฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต เด็กๆ ที่นิยมทานไก่ทอดหรือไก่ย่าง ที่มาจาก "ฟาร์มใหญ่" ก็จะสะสมสารเคมีเหล่านั้นไว้ในร่างกาย มีผลให้เติบโตเร็วผิดปกติ เด็กผู้หญิงอาจจะมีประจำเดือนตอนอายุ 10 ขวบ หรือเด็กผู้ชายอายุแค่ 11-12 ขวบก็เสียงแตก


 


ผมเองก็เพิ่งจะมาสังเกตเมื่อไม่นานมานี้ว่า เครื่องปรุงบางชนิด เช่น น้ำจิ้มสุกี้ หลายๆ ยี่ห้อ ก็ใส่สารกันบูด ทานบ่อยๆ ใช่ว่าจะดี หรือแม้แต่ ผัก ผลไม้ ที่ขายทั่วไปในท้องตลาด เราๆ ท่านๆ ก็คงพอจะทราบว่า เต็มไปด้วยยาฆ่าแมลงมากมายขนาดไหน ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า ในปัจจุบัน อาหารรอบตัวเรา กลายเป็นของกิน "อุดมพิษ" ไปเสียแล้ว ตราบใดที่เรายังไม่สามารถปลูกข้าว ปลูกผักไว้ทานเองได้ เราคงต้องเสี่ยงต่อการสะสมพิษต่อไป มะเร็งจะมาเยือนเมื่อไรก็ไม่รู้


 


ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสภาพความเป็นจริงของการใช้ชีวิตทุกวันนี้ ทำให้เรื่องสำคัญที่สุดต่อการดำรงชีวิตคือ "อาหาร" กลายเป็นเรื่องสำคัญน้อยที่สุดไป คนส่วนใหญ่แทบจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่า อาหารแต่ละมื้อที่ทานเข้าไป มีประโยชน์ มีคุณค่า มีสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการหรือไม่ เป็นแค่แป้งกับน้ำตาล หรือ เต็มไปด้วยรสชาติแต่ปราศจากคุณค่า


 


เวลา และรายได้ กลายเป็นปัจจัยที่บีบรัดให้เราต้องแสวงหา "เงิน" มากกว่าจะหาประโยชน์สุขจากสิ่งจำเป็นพื้นฐานคือ "อาหาร" ที่เราต้องรับประทานในแต่ละวัน ผมคิดว่า ปัญหาไม่ใช่เรื่องไม่มีเวลา แต่เป็นเพราะไม่ให้ความสำคัญ มากกว่า ถ้าเชื่อว่า สุขภาพของเราจะเป็นดังเช่นสิ่งที่เราทาน พฤติกรรมการบริโภคของเรา ก็จะเปลี่ยนไปทันที


 


ผมเชื่อว่า จริงๆ แล้ว ชีวิตที่มีความสุขนั้นไม่ใช่เรื่องยากหรืออยู่ไกลเกินเอื้อมเลย แค่สุขภาพดี จิตใจสงบ เราก็มีความสุขแล้ว เพียงแต่เงื่อนไขสำคัญคือเราให้ความสำคัญกับ "ชีวิตของตัวเราเอง" มากแค่ไหนนั้น อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่เคยชินกับการไขว่คว้าหาความสุขจากภายนอก คนที่มีความเชื่อว่า "ของดีคือของแพง" หรือ "มีชีวิตต้องใช้ให้คุ้ม" ตามวาทกรรมแห่งยุคสมัย คงจะมองคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพอย่างหยาบๆ ว่าเป็น พวกกินเจ,พวกคร่ำครึ หรือพวกไม่ทันโลก


 


เรื่องจริงที่เราไม่ค่อยจะคิดกัน ก็คือ ต่อให้สังคมมนุษย์เจริญรุดหน้าไปมากแค่ไหนก็ตาม ต่อให้เราไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร หรือไปใช้ชีวิตอยู่ในโคโลนีกลางอวกาศ มนุษย์ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ต้องการ "อาหาร" อยู่วันยังค่ำ มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองโดยปราศจากอาหารซึ่งผลิตจากธรรมชาติ แม้ว่าปัจจุบันเราจะสามารถสังเคราะห์อาหารได้หลายประเภท หรือตัดแต่งพันธุกรรมดัดแปลงพืชและสัตว์ให้มีคุณสมบัติตามที่เราต้องการได้ แต่สิ่งที่ผิดเพี้ยนหรือแค่จำลองมาจากธรรมชาติเหล่านั้น จะมีคุณค่าทางอาหารเทียบเท่ากับของเดิมได้หรือ? และมีอะไรรับประกันว่า มันจะไม่ทำให้ เซลล์ในร่างกายมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราไม่ต้องการ?


 


อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้น ก็ควรจะเป็นอาหารที่มีสารเคมีเจือปนอยู่ด้วยน้อยที่สุด แต่ด้วยสภาพที่การผลิตอาหารทุกวันนี้กลายเป็น "อุตสาหกรรมเกษตร" คือผลิตจำนวนมาก ใช้สารเคมีร่วมในการผลิต เพื่อเร่งให้เติบโตเร็ว ได้น้ำหนักมาก ผลผลิตที่ออกมา จึงมีสภาพที่ไม่ใช่ธรรมชาติแท้ๆ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนี่ครับ ชีวิตในสังคมเมือง บอกให้เราเลือกความสะดวกมากกว่าความปลอดภัย เราจึงบริโภคอาหารปนสารพิษเข้าไปทุกๆ วัน ทางเลือกที่เป็นไปได้ในทุกวันนี้ จึงไม่ใช่การบริโภคอาหารปราศจากสารพิษ แต่เป็นการบริโภคอาหารที่ มีสารพิษน้อยที่สุด มีการปนเปื้อนน้อยที่สุด


 


ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีคนที่ผมรู้จัก 2 คน ต้องป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ คนหนึ่งนั้น เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ หลังจากทานปลาเผาที่ซื้อมา ก็อาเจียนและท้องร่วงอย่างแรงจนต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาลสองคืน ส่วนอีกคนนั้น เป็นหญิงชราวัยร้อยกว่าปีแล้ว เป็นผู้อาวุโสที่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านให้ความเคารพนับถือ ปกติแกก็แข็งแรงดี แต่วันหนึ่งทานหน่อไม้ดองที่ซื้อมาเข้าไป ก็เกิดอาการอาหารเป็นพิษ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


 


เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า อาหารที่วางขายข้างทางนั้น จะมีสิ่งใดเจือปนอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เจ้าประจำ ก็ต้องเสี่ยงที่จะไม่อร่อย และไม่ปลอดภัย ผมเองเมื่อไม่นานมานี้ ก็หลงไปทานผัดไทยเจ้าหนึ่งเข้า เคยเห็นมีคนเข้าเยอะ ก็คิดคงอร่อย แต่ปรากฎว่า นอกจากจะไม่อร่อยแล้วยังแพงอีกต่างหาก พอผมเหลือบไปเห็นแกลลอนพลาสติกเล็กๆ ที่บรรจุ "น้ำส้มสายชูเทียม" ที่วางเรียงรายอยู่หลังร้าน ก็รู้สึกว่าความเปรี้ยวในผัดไทย (ที่ไม่อร่อยและแพง) จานนี้ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว จากนั้นราวสองชั่วโมง ท้องไส้ผมก็ปั่นป่วน ต้องกินยาลดกรดในกระเพาะอาหาร นั่งพักอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะดีขึ้น


 


ผมสังเกตอย่างหนึ่งว่า ร้านอาหารที่อยู่ในเมืองนั้น หลายร้านมักจะ (จงใจ?) ละเลยความสะอาดปลอดภัยของอาหาร ยิ่งลูกค้ามาก ยิ่งต้องทำให้เร็ว คนมานั่งกิน เห็นร้านสกปรก เห็นแมลงสาบ เห็นหนูวิ่งอยู่ในครัว เห็นเด็กเสิร์ฟเอานิ้วจุ่มลงในจานอาหารที่ยกมาเสิร์ฟ ฯลฯ ก็ต้องทำเป็นไม่เห็นเสีย แล้วก้มหน้าก้มตาทานเข้าไปให้หมด จากนั้น ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าท้องร่วงท้องเสีย ก็ถือว่าซวยไป


 


หากจะมองว่าไม่เป็นไรก็ได้ จะใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเช่นทุกๆ วันก็ได้ แต่ความจริงก็คือ อาหารการกินรอบตัวเรามันไม่ปกติอีกต่อไปแล้ว ถ้าเราโชคดี วันนี้ไม่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ แต่อีก 10-20 ปีข้างหน้าใครจะรู้ว่า จะเกิดอะไรผิดปกติกับร่างกายเราบ้าง ทุกวันนี้ ผมพยายามทำอาหารทานเอง และซื้ออาหารสำเร็จให้น้อยที่สุด ผัก ผลไม้ก็พยายามล้างนานๆ น้ำอัดลม ขนมหวาน และพวกเนื้อก็พยายามลด เน้นทานปลา ทานพวกธัญพืช ใครจะว่าเรื่องมากก็แล้วแต่ แต่ผมทำอย่างนี้แล้วสบายกายสบายใจ อย่างน้อยก็ไม่เปิดร่างกายให้เป็นคลังสะสมสารเคมี


 


เราทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่จะมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข ไม่จำเป็นต้องเดินตามคำโฆษณาชวนเชื่อใดๆ สุขภาพที่ดีนั้นคือจุดเริ่มต้นของชีวิต ต้องสร้างขึ้นเอง ไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน ยามใดที่เราเจ็บป่วยนอนซมอยู่บนเตียงและโหยหาร่างกายที่แข็งแรงตามปกตินั้น สมมติว่าเรามีเงินสักล้าน และอยากซื้อสุขภาพที่ดีกลับคืนมา เราก็ไม่อาจทำได้


 


มองไปรอบตัวแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจ การที่มนุษย์เราทำร้ายโลกต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีที่ฉีดพ่นไปในดิน น้ำ อากาศ หรือ การปรับแต่งพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ ทำลายความสมดุลย์ของธรรมชาติ สุดท้ายแล้วผลของมันก็สะท้อนกลับสู่ตัวมนุษย์เองในที่สุด


 


เราจะมีชีวิตอยู่กันอย่างไรครับ ในโลกที่เต็มไปด้วยสารเคมีอย่างนี้ ทางเลือกนั้น ไม่ได้ถูกกำหนดมาจากรัฐบาล หรือ รัฐธรรมนูญ ที่ไหนหรอกครับ มันอยู่ที่ตัวเราเอง