Skip to main content

ความ(ไม่)หลากหลาย

คอลัมน์/ชุมชน

Ebony and Ivory by Paul McCartney & Stevie Wonder



Ebony and Ivory


Live together in perfect harmony
Side by side on my piano keyboard
Oh Lord, why don't we?


We all know that people are the same
wherever you go
There's good and bad in everyone
Learn to live, learn to give each other
What we need to survive
Together alive


Ebony and Ivory
Live together in perfect harmony
Side by side on my piano keyboard
Oh Lord, why don't we?


Ebony, Ivory, living in perfect harmony
Ebony, Ivory, ooh


We all know that people are the same
wherever you go
There's good and bad in everyone
Learn to live, we learn to give each other
What we need to survive
Together alive


Ebony and Ivory
Live together in perfect harmony
Side by side on my piano keyboard
Oh Lord, why don't we?


Side by side on my piano keyboard
Oh Lord, why don't we?


Ebony, Ivory, living in perfect harmony
Ebony, Ivory, living in perfect harmony
Ebony, Ivory, living in perfect harmony...


 


(เนื้อร้องจาก  http://www.popculturemadness.com/Music/Lyrics/EbonyIvory.html


มิวสิควิดีโอที่ http://www.youtube.com/watch?v=FJ-EEf2Srl4)


 


ในที่สุดก็ถึงวันฌาปนกิจศพยายเมื่อพฤหัสฯที่ผ่านมา (22 ..) ผู้เขียนขอลาที่ทำงานและเลื่อนสอนไปเป็นวันอื่น ถือว่าเป็นการไว้อาลัยยายในจุดสุดท้าย ต่อไปนี้ไม่มียายให้นินทาอีกแล้ว เห็นใจแม่ที่ต้องทำใจแต่แม่ก็เก่งพอที่จะไม่ฟูมฟายนัก แม้หลายครั้งจะเป็น "ดราม่าควีน" ตัวจริงก็ตาม เอาเป็นว่าได้เห็นพิธีเผาศพแบบใกล้ชิดเพราะเป็นหลาน ปกติจะไม่ค่อยได้ไปงานแบบนี้เพราะไม่มีเวลา นี่เพราะเป็นยาย เลยไปฟังสวดให้ทุกวันแม้ไกลไปหน่อยคือชายแดนอยุธยา ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศหลังเลิกงานทุกวัน


 


จากคราวที่แล้วที่เล่าไปเรื่องญาติๆ วันนี้ก็มีเรื่องมาเล่าต่อ ในเรื่องพฤติกรรมคนต่างจังหวัด ไม่ค่อยแปลกใจเลยว่าทำไมหลายครั้งผู้เขียนจึงมีปัญหาคุยกับหลายๆ คนไม่รู้เรื่อง เพราะเรามองกันคนละจุด  ทำให้คิดอย่างเห็นแก่ตัวและหลงตัวไปว่าถ้าเมืองไทยคนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้คงลำบาก น่าเสียดายที่ว่าแม้เทคโนโลยีการสื่อสารและคมนาคมจะเยี่ยม แต่ถ้า "ใจปิด" คงจะลำบาก แต่เมื่อมองอย่าละเอียด คงโทษคนไม่ได้ ว่ากันตรงๆ ก็ต้องโทษระบบสังคมและวัฒนธรรมไทยนี่แหละ           


 


เพราะผู้เขียนไม่ได้ถือพุทธแบบคนไทยส่วนใหญ่แล้ว ดังนั้นเวลาพระสวดอภิธรรมก็เลยได้แต่นั่งเฉยๆ คนก็มอง ไม่ว่าทำอะไรๆ คนก็มอง ก็ตลกดี หลายคนอยากคุยด้วย แต่พอคุยแล้วก็ไม่มีอะไรจะคุย หัวข้อจะคุยร่วมกันนี่ไม่มีเลย อย่างเช่น เรื่องความเข้าใจเรื่องงานศพ เรื่องบทบาทหญิงชายในสังคม หรือ แม้กระทั่งเรื่องเรียนๆ ของลูกหลาน ไม่เข้าใจว่าเค้ามีชีวิตอยู่กันได้อย่างไร  นึกถึง "แบ๊คทูเดอะฟิวเจอร์" มาทันที


 


นึกแล้วก็ขำว่ามีผู้รู้หลายคนชอบเขียนให้กำลังใจคนรากหญ้า คนในต่างจังหวัด ว่ากันตามจริงแล้วพบว่าคนเหล่านี้ไม่มีโอกาสในการคิดหรือคิดแล้วแต่ไม่มีโอกาสจะพัฒนาต่อ น่าจะมาจากระบบวัฒนธรรมที่ไม่ได้ให้หลายคนตระหนักถึงความจำเป็นในการอ่านหนังสือ (ไม่ต้องถึงขนาดมุ่งเอาปริญญาหรอก) ไม่ยอมให้คนกล้าคิด ไม่กล้าแหวกออกมา ซึ่งก็อาจมีปัจจัยหลายด้าน เช่น ระบบความเชื่อเวรกรรมที่ไม่ไปไหน ระบบเครือญาติพวกพ้องที่ทำให้ไม่สามารถกล้าแหวกกะลาออกมา และระบบเถื่อนๆในลักษณะอุ้มฆ่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐเองไม่เอาใจใส่และเป็นคนร้ายเสียเอง


 


ผู้เขียนนำเอาเพลง Ebony and Ivory มาจั่วหัวในคราวนี้ เพราะนึกถึงความหลากหลายที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำรงอยู่ของชีวิตในสังคม เพลงนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อให้เห็นความแตกต่างของมนุษย์ที่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างลงตัว แต่งในปี 1982 สมัยนั้นดังเป็นพลุ จำได้ว่าไปไหนใครก็เปิดเพลงนี้ในบรรดาคอเพลงฝรั่ง เด็กสมัยนี้คงมองเป็นเรื่องเชย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฝรั่งเองจะพยายามให้ความแตกต่างของมนุษย์ไม่เป็นอุปสรรคในการดำรงอยู่ร่วมกัน แต่จากวันนั้นจนวันนี้ ก็ยังไม่ได้มีอะไรดีขึ้นแม้ในสหรัฐฯเอง ก็ยังทะเลาะกัน ผู้เขียนเองก็พบเจอกับตนเอง แต่ฝรั่งนั่นมีความเนียนในเรื่องนี้มากกว่า


 


สังคมไทยมีความแตกต่างมากมาย แต่เพราะว่ามีค่านิยมหลายตัวที่ลดความตึงเครียดในเรื่องความต่าง อีกทั้งสมัยก่อนไม่ได้มีการติดต่อกับโลกภายนอกมากเท่านี้ ความต่างที่เข้ามาก็ไม่มีมากเท่าวันนี้ เสียดายว่าสังคมไทยไม่มีกระบวนการในการรองรับความต่างได้เพียงพอสำหรับวันนี้ ระบบฐานอำนาจต่างๆ โดนท้าทายด้วยกระแสตะวันตกที่เน้นการแข่งขันที่ดุเดือดและปฏิเสธระบบคตินิยมที่ตอกย้ำอำนาจของกลุ่มชนชั้นปกครอง


 


คงมีหลายคนที่อาจด่าผู้เขียนว่าบ้าฝรั่งที่สนับสนุนความเป็นตะวันตก ก็ขอตอบว่า คนที่ด่านี่แหละผิด เพราะไม่ใช่ฝรั่งหรอกหรือที่เป็นคนที่มาปลุกสำนึกความเป็นมนุษย์ในสังคมไทยนี้ (แม้ว่าฝรั่งเองในหลายส่วนก็ทำลายสิทธิมนุษยชน) ในช่วง ร. 4-5 สังคมไทยก็เอาของฝรั่งมาซะแยะ แต่แล้วก็มาอ้างว่าเป็นของดีเพราะชนชั้นปกครองหยิบมาใช้แล้วบอกว่าดี คนทั่วไปจึงว่าดี แต่อันไหนไม่เอามาเพราะจะทำลายฐานอำนาจตนเองก็เลยว่าไม่ดี อนิจจาสังคมไทยส่วนใหญ่ก็ไม่เคยลุกขึ้นมาถามแม้แต่น้อย ยิ่งช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยมีคนถามเลย


 


การที่มีความต่างในสังคมไทยโดยเฉพาะเรื่องความคิดคงเป็นเรื่องซ้อนเรื่อง เพราะคนในภูธรไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก และคนในกรุงเองก็ไหลไปกับกระแสทุนนิยมแบบสุดโต่ง แล้วมีคนอยากเป็นไฮโซ บ้าๆ บอๆ อย่างนี้ชนชั้นปกครองชอบนัก หลายครั้งก็ช้อนคนบางคนไปเป็นพวกเพื่อหลอกใช้ น่าเสียดายหลายคนที่ร่ำเรียนมาสูงๆ (เพราะทุนใครก็แล้วแต่) ก็ไหลไปกับเรื่องนี้ บางคนเป็นตั้งแต่ตอนที่ได้ทุนเลย กลายเป็นพวกเทวดาเสียตั้งแต่เรียนยังไม่จบ


 


ความแตกต่างในสังคมไทยไม่ใช่เรื่องแยบยลนัก แต่มาจากมาตรฐานทับซ้อนในคตินิยมของไทยเองที่สร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครองที่พยายาม "แบ่งแยกแล้วปกครอง" คนใดแตกแถวในอำนาจของตนเองคือคนชั่ว แต่หากอยู่ใต้อาณัติ แต่ทะเลาะกันเองไม่เป็นไร จะได้ปกครองง่ายๆ แต่ถ้าไม่เชื่อในคตินิยมที่จัดไว้ ผู้นั้นจะเลวแสนเลวและต้องถูกกำจัดโดยวิธีใดก็ตาม


 


ดังนั้น การที่ยังไม่แตกแถวจึงถือเป็นการสืบสันดานความเป็นไพร่ (ไม่ว่าคนนั้นจะมีความรู้ การศึกษาหรือไม่ก็ตาม) ความหลากหลายและแตกต่างจึงกลายเป็นข้อห้ามในสังคมไทย ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ยิ่งไม่เหมือนในหลักบ้าๆบอๆของสังคมไทย ผู้นั้นก็จะเสมือนโดนลงทัณฑ์ ทางสังคม เป็นตัวประหลาด เป็นคนสังคมรังเกียจ  เรื่อง "คำพิพากษา" เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความตื้นในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี แต่บังเอิญไม่ได้ขยายผลไปว่าใครเป็นคนกำหนดคตินิยมทางสังคมเท่านั้น


 


การไปงานศพยายที่ผ่านมาทั้งสัปดาห์ที่แล้ว เหมือนการลงภาคสนามในการเข้าใจสังคมไทยนอกห้องเรียน นอกกทม. และที่สำคัญได้มองเห็นว่าตนเองเป็นอย่างไร และได้แต่รำพึงกับตนเองว่าตอนนี้คงบินกลับไปอเมริกาอีกไม่ได้แล้วเพราะได้ตัดสินใจลงรากที่นี่ คงต้องดูกันต่อไป