สวัสดี-สวัสดีชีวิตที่มีแต่ความผิดหวัง
คอลัมน์/ชุมชน
คุณที่รัก
ยามที่ความคิดจิตใจสงบนิ่ง เรียบราบเหมือนผิวน้ำทะเลยามปราศจากคลื่นลม ผมมักจะมองเห็นอะไรต่อมิอะไรตามความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัด และผมมักจะพบอยู่เสมอว่า สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้คนเราต้องประสบกับความทุกข์สุขในชีวิตมากที่สุด คือความคิดของตัวเราเองที่คิดกับสิ่งต่าง ๆ ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องผูกพัน
แล้วคิดคาดหวัง ทั้งในเชิงยอมรับและปฏิเสธ นั่นคือคิดดึงดูดเข้าหาตัวเอง และคิดผลักไสออกไปจากตัวเอง รวมกัน 6 ประการ นั่นคือ
1.คิดอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้
2.คิดอยากมีอย่างนั้นอย่างนี้
3.คิดอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
และคิดในเชิงปฏิเสธอีก 3 ประการได้แก่
1.คิดไม่อยากได้อย่างนั้นอย่างนี้
2.คิดไม่อยากมีอย่างนั้นอย่างนี้
3.คิดไม่อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
อ๋อ แน่ละ !
ถ้าหากแต่ละสิ่งละอย่างที่เราเอาชีวิตของเราเข้าไปเกี่ยวข้องผูกพัน เป็นไปอย่างที่เราคิดคาดหวังทั้งในเชิงยอมรับและปฏิเสธ เราย่อมเป็นสุขและดีใจ เพราะความสมหวังได้ดั่งใจ แต่ถ้าหากมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดคาดหวัง เราก็ต้องเป็นทุกข์และเสียใจ เพราะความผิดหวังไม่ได้ดั่งใจ พูดง่าย ๆ ว่าตั้งแต่เราตื่นลืมตาลุกขึ้นมาจากที่นอนเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน จิบกาแฟ และแต่งตัวกระหืดกระหอบออกจากบ้านไปทำงาน คนเราจะต้องประสบกับความทุกข์สุขประจำวัน ด้วยวิธีการคิดดังกล่าว ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ใหญ่โต ส่วนจะทุกข์น้อยสุขน้อย-ทุกข์มากสุขมากเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับขนาดของเรื่องราว และตัวของเราเองที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด
คุณที่รัก
ผมไม่ทราบว่าทุกวันนี้ คนเราแต่ละคน มีวิธีการคิดกันอยู่กี่วิธี แต่ผมมั่นใจว่าวิธีการคิดที่มีรากเหง้ามาจากความต้องการภายในของคนเราเป็นตัวตั้งแบบนี้ เป็นวิธีการคิดที่ฝังลึกแนบแน่นอยู่ในตัวตนของคนเราแทบทุกคน และเป็นวิธีการคิดที่คนเราใช้คิดไปเกี่ยวข้องผูกพันกับสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรมรอบ ๆ ตัวเราแทบทุกกรณีเลยก็ว่าได้
จริงหรือไม่จริง
ใช่หรือมิใช่
พระเดชพระคุณท่าน พุทธทาสภิกขุ ผู้ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว
ถึงกับอุทานธรรมท้าทายผู้คนทั้งหลายว่า
ไม่ว่าทุกข์สุขทางใจใด ๆ ในชีวิตของมนุษย์
มักล้วนแล้วมีต้นตอของสาเหตุ
มาจากวิธีการคิดแบบนี้ทั้งสิ้น
ถ้าคุณไม่เชื่อ
คุณลองตรวจสอบดูความทุกข์สุขในชีวิตของคุณดูก็แล้วกัน
ที่น่าตกใจมากก็คือ
เคยมีคนทำวิจัยเอาไว้ว่า ตลอดชีวิตของคนเราตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย ชีวิตของคนคนหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะอายุสั้นหรือยืนยาวสักกี่ร้อยปี ระหว่างความทุกข์ความสุข ซึ่งเป็นผลผลิตที่งอกเงยออกมาจากวิธีการคิดแบบนี้ เมื่อนำมาเทียบสัดส่วนกันดูแล้ว คนเราจะประสบกับความทุกข์ผิดหวังในชีวิตถึงสามส่วนในสี่ส่วน และประสบกับความสุขสมหวังเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นเอง
พูดง่าย ๆ โดยอัตราเฉลี่ยเป็นปี สมมุติว่าคุณอายุยืนถึง 100 ปี คุณจะพบกับความทุกข์ผิดหวังในชีวิตถึง 75 ปี แต่จะพบกับความสุขสมหวังในชีวิตเพียง 25 ปีเท่านั้นเอง
ไม่ว่าคุณจะเกิดมาเป็นราชาหรือยาจก
เป็นคนดีหรือเป็นคนเลว
เป็นคนเฉลียวฉลาดหรือคนโง่
เป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งหรือยากจนเข็ญใจ
ต่างก็จะประสบกับความทุกข์สุขทางใจ เพราะวิธีการคิดแบบนี้ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน เพราะถึงแม้คนเราจะมีสถานะทางสังคม คุณค่าของความเป็นคน และเปลือกนอกที่ห่อหุ้มตัวตนความเป็นมนุษย์ ต่างกันสักเพียงใดก็ตาม แต่ในฐานะความเป็นมนุษย์ที่ยังมีวิธีการคิดที่มีกิเลสตัณหาภายในเป็นตัวตั้งแบบนี้เหมือนกัน ความเป็นคนด้านในของแต่ละคนย่อมไม่มีอะไรต่างกัน จึงย่อมได้รับผลแห่งความทุกข์สุขทางใจเท่า ๆ กัน
ต่างกันเพียงแค่รูปแบบของชีวิตภายนอกเท่านั้น
คุณที่รัก
ในฐานะปุถุชนคนธรรมดา โดยส่วนตัวผมซึ่งเคยตรวจสอบความคิดจิตใจของตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าครั้งนี้หรือครั้งไหน ๆ ไม่ว่าจะไปเกี่ยวข้องผูกพันกับอะไร ผมยังไม่เคยสลัดตัวเองหลุดพ้นออกมาจากกรอบวิธีการคิดแบบนี้ ดังนั้น คุณไม่ต้องกลัว คนที่มีความไม่ดีมากกว่าความดีอย่างผม จะเทศนาในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ แล้วคะยั้นคะยอให้คุณเข้าไปวัดไปปฏิบัติธรรม เพื่อลดละกิเลสตัณหาอันหนาหนัก
แต่เราจะมาช่วยกันคิดในฐานะปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังยากแสนยากที่จะลดละกิเลสตัณหาความต้องการอยากได้ อยากมี อยากเป็น และความต้องการไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่ว่าคุณจะรู้หรือยังไม่รู้ ว่าวิธีการคิดต้องการอะไรต่อมิอะไรสารพัดเรื่องแบบนี้ของชีวิต จะทำให้เราพบกับความทุกข์ผิดหวังถึงสามเท่าตัวของความสุขสมหวัง แต่เราก็ยังสมัครใจที่จะเวียนว่ายอยู่กับวิธีการคิดและความทุกข์สุขซ้ำ ๆ ซาก ๆ แบบนี้ เหมือนอย่างที่เพลงรักเก่า ๆ เพลงหนึ่งที่ชื่อว่า "ไม่อยากให้โลกนี้มีความรัก" ได้บรรยายถึงความรู้สึกนึกคิดของคนประมาณแบบเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ไปเกี่ยวข้องผูกพันกับความรักเอาไว้ว่า
อันแสงสูรย์ส่องสว่างแต่กลางวัน
อันแสงจันทร์ส่องประจำยามราตรี
อันความรักร้อนเร่าเผาฤดี
ส่องชีวีทุกโมงยามประจำใจ
มีรักแล้วไม่คลาดแคล้วต้องตรมฤทัย
เหมือนแบกโลกทั้งโลกไว้ให้โศกหนัก
ไม่อยากให้โลกนี้มีความรัก
แต่ฉันสมัครแบกรักไว้ไม่หนักเลย
ณ บนพื้นที่แห่งนี้
ผมจะไม่พูดถึงความสุขสมหวังอันน้อยนิดของชีวิต เพราะผมเชื่อมั่นว่า ยามที่คนเราประสบกับความสุขสมหวัง ย่อมไม่มีปัญหาอะไร แถมยังไม่อยากให้ใครเข้าไปร่วมมีส่วนแบ่งด้วย แต่เรื่องของความทุกข์ผิดหวัง ที่เราต้องพบกับมันถึงสามเท่าตัวของความสุขสมหวัง และมักจะต้องเผชิญหน้ากับมันแต่เพียงลำพังผู้เดียว เพราะไม่มีใครเขาอยากเข้าไปวุ่นวายเป็นทุกข์เดือดร้อนด้วย ตามธรรมชาติของคนทั่ว ๆ ไป ที่รักตัวกลัวตายรักสุขเกลียดทุกข์ และยิ่งมีความทุกข์มากเท่าไหร่ คนเขาก็ยิ่งไม่อยากเข้าใกล้มากเท่านั้น ทำอย่างไรเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับมัน เราจึงจะเอาตัวรอดปลอดภัยจากพิษร้ายของความผิดหวังในชีวิตได้
แน่ละ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต ถึงขนาด เออเนสต์ เฮมมิงเวย์ นักเขียนอเมริกันที่บึกบึนแข็งกร้าวแบบชายชาตรี ผู้เผชิญกับโลกและชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชน ยังพูดสั้น ๆ เอาไว้เลยว่า
"ความผิดหวังที่ร้ายแรงฆ่าคนได้"
คุณที่รัก
นั่นหมายความว่า คนเราแต่ละคนจะต้องรู้จักสร้างภูมิต้านทานความทุกข์ผิดหวังในชีวิตเอาไว้ป้องกันตัวเอง ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านความทุกข์สุขผ่านร้อนหนาวในชีวิตมาพอสมควร ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ผมมั่นใจว่าแต่ละคนล้วนแต่มีภูมิต้านทานที่สร้างเอาไว้ป้องกันความผิดหวังในชีวิตของตัวเอง คนละไม่มากก็น้อย และภูมิต้านทานชีวิตของแต่ละคนก็คงจะต่างกันไป ตามแต่สติปัญญาและประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน
แต่ไม่ว่าวิธีการสร้างภูมิต้านทานของคุณจะเป็นอย่างไร โดยทัศนะส่วนตัวของผมแล้ว ผมเชื่อมั่นว่าวิธีการสร้างภูมิต้านทานความผิดหวังในชีวิตที่ดีที่สุด และสามารถนำไปใช้กับคนได้ทุกคน คือการสร้างวิธีการคิดแบบ "หนามหยอกเอาหนามบ่ง" ขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเอาไว้ป้องกันตัวเอง เพราะต้นตอบ่อเกิดของความทุกข์ผิดหวังและความสุขสมหวังทั้งหมดในชีวิตของเรา เกิดจากความคิดของเราเอง ที่ต้องการอยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นและไม่เป็นอย่างที่ใจเราต้องการสาเหตุเกิดจากการคิด ก็ต้องสร้างภูมิป้องกันด้วยการคิดเช่นกัน
นั่นคือ เราจะต้องสร้างความคิดที่มีเนื้อหาตรงกันข้ามกับความคิดคาดหวังขัดแย้งกันเอาไว้ว่า มันอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดคาดหวังเลยก็ได้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ และสามารถคิดขัดแย้งแบบนี้ ได้ทุก ๆ กรณีของชีวิตที่เราคิดคาดหวัง ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ใหญ่โต
ที่สุดอย่างถึงที่สุด แม้แต่เรื่องที่เพียบพร้อมไปด้วยข้อมูล สิ่งแวดล้อมและเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเชื่อมั่นและคาดหวังว่า มันจะต้องเป็นหรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างแน่นอน แต่เราก็ยังสามารถตั้งสติคิดขัดแย้งในมุมกลับ ยับยั้งความเชื่อเอาไว้ได้
จริง ๆ นะ
ถ้าคุณฝึกฝนตัวเองจนสามารถคิดแบบนี้ได้
ถึงขนาดตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันหนึ่ง
พบว่าตัวเองถูกหวยล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งชุดใหญ่
ไม่ว่าจะนำไปตรวจกับเรียงเบอร์ของหนังสือพิมพ์ฉบับไหน
ตัวเลขก็ตรงกันหมดทุกฉบับ
แต่แทนที่คุณจะกระโจนลงไปสู่ความเชื่อนี้จนสุดลิ่มทิ่มประตู ถึงขนาดแน่ใจพันเปอร์เซ็นต์ว่า ตัวเองกำลังจะเปลี่ยนฐานะจากยาจกไปเป็นเศรษฐีในพริบตา กำลังจะมีรถยนต์คันหรูหราใหม่เอี่ยม กำลังจะมีแฟนหล่อ-แฟนสวยเซ็กซี่เหมือนดาราภาพยนตร์ยอดนิยม พร้อมกับกิ๊กอีกมากมายหลายคนมาห้อมล้อม ประดุจดาวล้อมเดือน แต่คุณก็ยังไม่ยอมปักใจเชื่อ เพราะยังมีสติอันเข้มแข็งยับยั้งใจตัวเองเอาไว้อย่างแข็งขันว่า.
เป็นไปได้ยังไงว่ะ
เป็นไปไม่ได้หรอก
หัวเด็ดตีนขาดยังไงกูก็ไม่เชื่อว่ากูถูกรางวัลที่หนึ่ง
กูซื้อหวยรัฐบาลมายี่สิบกว่าปี
ไม่เคยตกหล่นแม้แต่งวดเดียว
เคยถูกแค่เลขท้าย 2 ตัวมาสามครั้งกับเลขท้าย 3 ตัวมาครั้งหนึ่ง
เป็นไปได้ยังไงว่ะ
เป็นไปไม่ได้หรอก
ที่รัฐบาลที่หากินบนความอ่อนแอและความโง่เขลาของประชาชนอย่างกู
จะล็อคเลขให้กูถูกรางวัลที่หนึ่งเอาง่าย ๆ อย่างนี้
หวยของกูจะต้องเป็นหวยปลอมแน่ ๆ
และถึงขนาดนำไปขึ้นเงินที่กองสลาก โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากเรียบร้อยแล้ว หลังจากหักลบเงินภาษีและเงินบริจาคมูลนิธิต่าง ๆ คุณก็ยังไม่ยอมเชื่อว่ามันเป็นความจริง จนกระทั่งทดลองไปกดเงินตู้ เอทีเอ็ม เอาเงินสด ๆ ออกมาโปรยเล่นแก้หวัดคัดจมูกไปตามถนนด้วยความเพลิดเพลิน หมดไปถึงสี่ซ้าห้าแสน นั่นแหละ ! คุณจึงจะยอมเชื่อว่ามันเป็นความจริง จริง ๆ โว้ย!
คุณที่รัก
ถ้าคุณสามารถฝึกฝนวิธีการคิดติดเบรกชีวิตของตัวเองได้ถึงขนาดนี้ ผมรับรองว่าชีวิตจิตใจของคุณ จะอยู่รอดปลอดภัยจากความผิดหวังสารพัดเรื่องในชีวิตขึ้นมาอีกมากมาย หรืออาจแทบไม่รู้สึกรู้สากับความผิดหวังใด ๆ เลยก็ได้ เพราะคุณได้สร้างภูมิต้านทานเซฟตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา ด้วยวิธีการคิดแบบ "หนามยอกเอาหนามบ่ง" เผื่อความผิดหวังควบคู่กับความคาดหวังเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว แน่ล่ะ ยิ่งเราคิดเผื่อความผิดหวังเอาไว้มากเท่าไหร่ เราย่อมปลอดภัยจากพิษร้ายของมันมากขึ้นเท่านั้น
จริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ ทุกวันนี้มีเรื่องราวมากมายในชีวิตที่ทำให้คนเราหลงเชื่อและคิดคาดหวัง ว่ามันจะต้องเป็นหรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างแน่นอน
แต่พอถึงเวลาจริง ๆ
มันกลับพลิกความคาดหวัง
กลับกลายเป็นอื่น
ทุบตีหัวใจคนเป็นบ้าเป็นหลังมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ไม่เชื่อคุณลองไปถามตามโรงพยาบาลโรคจิตประสาทดู คุณจะพบว่าผู้คนที่มีชีวิตเหลืออยู่แต่เพียงร่างกายเหล่านี้ เกือบทั้งหมด ล้วนแล้วแต่มีต้นตอของสาเหตุมาจากความผิดหวังในชีวิตอย่างรุนแรงทั้งสิ้น
สุภาพสตรีสาวสวยโสภา
เจ้าของร้านอาหารหรูหราท่านหนึ่ง ซึ่งเคยมีสถานะเป็นเจ้านายของผม สมัยที่ผมยังเป็นนักดนตรีรับจ้าง เที่ยวพเนจรร่อนเร่ไปรับจ้างเล่นกีตาร์และร้องเพลงโฟล์กตามร้านอาหารต่าง ๆ ในละแวกชานเมือง และเคยไปทำงานที่ร้านของเธออยู่สอง-สามปี
ผมจำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง ระหว่างที่ผมยังทำงานอยู่กับเธอ วันหนึ่งเธอก็มีเพื่อนร่วมสถาบันเตรียมอุดมศึกษาจากกรุงเทพฯที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี เดินทางโผล่หน้าเข้ามาเยี่ยมเยียนและปรับทุกข์ เกี่ยวกับที่ดินแปลงหนึ่งที่ซื้อทิ้งไว้นานมาแล้วที่เชียงใหม่ และอยากจะขายในราคาค่อนข้างแพง เพื่อให้พ้นจากภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล เพราะวิ่งเต้นขายด้วยตัวเองมาเกือบปี ก็ยังหาคนมาซื้อไม่ได้ จึงอ้อนวอนขอให้เธอช่วยติดต่อขายให้
เธอก็รับปากช่วยด้วยความเต็มใจ เพราะถือว่าเป็นเพื่อนฝูงกัน และสามารถติดต่อหาคนมาซื้อตามราคาที่เพื่อนต้องการในเวลาไม่ถึงสองเดือน เพราะเธอเป็นคนมีนิสัยใจคอกว้างขวาง ได้รับความเชื่อถือจากคนมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่มีฐานะร่ำรวยมั่งคั่ง
หลังจากจัดการให้เพื่อนเจ้าของที่และผู้ซื้อ ไปซื้อขายจ่ายเงินกันเรียบร้อย เธอก็กลับมานั่งคิดคาดหวังว่า เพื่อนของเธอจะต้องเอาเงินค่าเปอร์เซ็นต์นายหน้ามาให้เธออย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20,000 กว่าบาท ตามธรรมเนียมที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาปฏิบัติกัน และรู้กันทั่วไปในวงการค้าขายที่ดิน ขายกันในราคาเท่านั้นเท่านี้ ผู้ติดต่อซื้อขายควรจะได้เท่านี้เท่านั้น หรืออาจจะแถมให้มากกว่านี้ เพราะเป็นเพื่อนฝูงกัน ตามวิธีการคิดของเธอ ซึ่งเป็นคนมีนิสัยใจคอกว้างขวาง และคิดว่าเพื่อนคงจะคิดเหมือนกับตัวเอง
แต่การณ์กลับปรากฏว่า หลังจากได้รับเงินแล้ว วันหนึ่งเพื่อนของเธอก็ขับรถมาหาเธอที่ร้าน เอาเงินใส่ซองขาวยื่นให้เธอ และพูดตัดบทสั้น ๆ กับเธอว่า
"เอ้า นี่เงินของเธอเอาไปแค่นี้ก็พอนะ"
ก่อนจะรีบเดินออกจากร้านสตาร์ทเครื่องรถขับไปอย่างรวดเร็ว เธอเปิดซองขาวออกมาดู ปรากฏว่าเพื่อนเอาเงินใส่ซองให้เธอเพียงแค่ 2500 บาท เธอจึงเอาเงินกลับใส่ซองให้เด็กเอาไปส่งคืน พร้อมกับโน้ตสั้น ๆ ไปบอกเพื่อนว่า
"เอาเศษเงินให้ขอทานของเธอคืนไป และตั้งแต่นี้ต่อไปเธอไม่ต้องเข้ามาเหยียบร้านของฉันอีก"
และผมยังจำได้อีกว่า หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ประมาณสามเดือน ผมก็เสือกไปเอ่ยชื่อเพื่อนคนนี้ของเธอให้เธอได้ยิน ขณะนั่งกินเหล้าที่เธอเปิดมาเลี้ยงดูปูเสื่อหลังเลิกงานด้วยกัน เธอโกรธขึ้นมาเป็นฟืนไฟ ลุกขึ้นมาทุบโต๊ะพร้อมกับตะคอกเอากับผม ที่นั่งตัวซีดแล้วซีดอีกว่า
"จำเอาไว้นะ ถ้าพี่อยากทำงานอยู่กับหนูนาน ๆ ตั้งแต่นี้ต่อไปพี่อย่าได้เอ่ยชื่อผู้หญิงคนนี้ให้หนูได้ยินอีกเป็นอันขาด! "
ก่อนจะคว้าคอขวดเหล้าชีวาส ซึ่งนานทีปีหนนักดนตรีจน ๆ อย่างผมที่เที่ยวกินได้แต่เหล้าตองก๊งละสิบบาทตามร้านกระจอก ๆ ข้างถนน จึงจะมีวาสนาได้พบปะ สะบัดหน้าปึงปังจากไป ทิ้งให้ผมนั่งตบปากตัวเอง ด้วยความอาลัยอาวรณ์ชีวาสขวดนั้น-ปิ้มว่าใจจะขาดรอน รอน เพราะผมเพิ่งกระเดือกเข้าไปยังไม่ถึงสามแก้ว
นี่คือตัวอย่างความผิดหวังในชีวิต
ที่เกิดจากความคาดหวังที่ยังไม่ใหญ่โตนัก
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามิใช่น้อย
แถมยังพลอยทำให้คนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างผม
ต้องมาเดือดร้อนและอดอยากไปด้วย
และอีกกรณีหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่โต
นี่เป็นคำบอกเล่าจากชีวิตจริงของสุภาพสตรีอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นแม่ม่ายที่ค่อนข้างสูงวัยและฐานะดี ที่ผมเคยไปรับจ้างสอนท่านร้องเพลงรักเก่า ๆ ยุค รวงทอง ทองลั่นทม ให้ถูกกับจังหวะและบันไดเสียงของดนตรี ปัจจุบันท่านมีอาชีพเป็นคนขายเครื่องสังฆภัณฑ์และรับทำนายโชคชะตาราษี ท่านเล่าให้ผมฟังว่า
สมัยที่ท่านทำธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศอยู่ที่กรุงเทพฯ มีฝรั่งคนหนึ่งที่รู้จักกันดี ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังทำงานอยู่อเมริกา ได้มาเสนอให้ท่านเป็นนายหน้าขายสินค้าอะไรสักอย่างหนึ่งที่มีมูลค่าและราคามหาศาล ท่านคิดสาระตะดูแล้ว ถ้าขายได้จะได้เปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าจากงานนี้ไม่ต่ำกว่าสองล้านบาท ท่านจึงรีบรับเป็นนายหน้าไปวิ่งเต้นขาย โดยไม่ทำหนังสือสัญญาใด ๆ เพราะเชื่อใจกัน
แต่พอท่านโชคดีเกิดขายได้ และหลงดีใจจนเนื้อเต้นคาดหวังว่า คราวนี้จะต้องได้เงินล้านเข้ากระเป๋าแน่ ๆ ฝรั่งกลับเบี้ยวเอาแบบหน้าด้าน ๆ ไม่ยอมจ่ายเงินค่านายหน้าให้ท่านแม้แต่บาทเดียว แถมยังพูดเยาะเย้ยให้เจ็บใจอีกว่า ถ้ายูอยากได้ยูก็ไปฟ้องรัฐบาลของยูเอาเองสิ
ความผิดหวังอย่างรุนแรง บวกกับความเจ็บใจที่ถูกหลอกถูกเยาะเย้ย ทำให้ท่านช็อคล้มลงเป็นอัมพาต เป็นภาระให้ลูกหลานอาบน้ำป้อนข้าว เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวถึงสองปี กว่าจะรักษาตัวค่อย ๆ ฟื้นกล