เพื่อให้รักงดงาม
คอลัมน์/ชุมชน
มีคนรักต่างเพศคนหนึ่ง เคยพูดกับฉันในฐานะที่เป็นคนรักเพศเดียวกันว่า ความรักของเพศไหนๆ มันก็มีปัญหาเหมือนกันหมดน่ะแหละ
ใช่ค่ะ บางส่วนอาจจะเหมือน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เราต่างก็เจอปัญหาอันเนื่องมาจากความรัก ไม่ว่าจะเป็น ต่างคนต่างไม่เข้าใจกัน อีกคนไปมีกิ๊ก แต่อีกคนรักสุดใจขาดดิ้น หรือหลงรักเขาข้างเดียว เขาไม่เหลียวมองดูเรา ฯลฯ
ฉันบอกกับคน ๆ นั้นว่า ใช่แล้ว พวกเราก็เจอปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน แต่เรายังมีของแถมพิเศษ คือยังต้องเผชิญกับอคติ ความไม่เข้าใจทั้งหลายของผู้คน บางครั้งก็หนักขนาดเป็นโฮโมโฟเบีย และเรายังไม่มีสถาบันต่าง ๆ มาให้การสนับสนุนเหมือนความรักของหญิงชายอีกต่างหาก
ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกค่ะ ที่คนสองคนจะครองรักกันได้ท่ามกลางภาวะเช่นนี้
วันนี้ขอว่าด้วยเรื่องของความรักค่ะ เพราะเพิ่งไปเปิดเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่แฟนเก่าฉันให้มานานแล้ว แต่หลังจากเธอจากไปฉันก็เก็บมันเข้ากรุตามไปด้วย จนเมื่อเร็ว ๆ นี้เองค่ะที่ไปเจอเข้าอีกครั้ง เลยหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น แล้วลองอ่านดู หนังสือเล่มนี้ชื่อ Empowering The Tribe: A Positive Guide to Gay and Lesbian Self-Esteem ผู้เขียนชื่อ Richard L. Rimental-Habib เป็นนักจิตวิทยาคลินิคชาวอเมริกัน หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยการสร้างความเคารพและการรักตัวเอง รวมถึงการดูแลตนเองทั้งด้านจิตใจและจิตวิญญาณ มีหลายเรื่องที่อ่านแล้วโดนใจค่ะ โดยเฉพาะคำแนะนำเกี่ยวกับความรัก
คุณริชาร์ดแกบอกว่า ลองคิดดูสิ คนรักต่างเพศที่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว และจากสังคม ยังมีอัตราหย่าร้างมากกว่า 50 % (สถิติของสหรัฐ) แต่สำหรับชาวเกย์และเลสเบี้ยนแล้ว คงไม่มีพ่อแม่คนไหนมาบอกลูกเกย์ของตัวว่า "ดีจังเลยลูก ที่ลูกเป็นเกย์ มา... พ่อจะสอนให้ลูกรู้จักความรัก!" หรือไม่ก็ "มาให้แม่ช่วยจัดงานแต่งงานของลูกนะ เอ จะเชิญใครมาบ้างดีนะ แหม พ่อของลูกต้องดีใจแน่ ๆ เลย" แทนที่จะได้รับการยอมรับเช่นนี้ คนรักเพศเดียวกันกลับต้องเผชิญกับอคติที่ว่า ความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันมันเป็นไปไม่ได้หรอก หรือไม่ก็ไม่ยั่งยืน ไม่มั่นคง ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร
คนรักเพศเดียวกันที่เติบโตมาโดยรับความเชื่อเหล่านี้เข้าไป พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำยังไงกับความรักของตัวเองดี
แต่โลกนี้มันก็ไม่ได้มีแต่ด้านมืดค่ะ คุณริชาร์ดบอกว่า อย่างไรก็ดี เราเป็นเจ้าของชีวิตของเรา ซึ่งเราสามารถสร้างความรักที่เราต้องการขึ้นมาได้ด้วยตัวของเราเอง ขอให้ถามตัวเราเองว่า ความสัมพันธ์เช่นใดที่เราพร้อมจะมีจริง ๆ และเราต้องการอะไรจากคนรัก และเราจะสามารถให้อะไรคนรักเราได้บ้าง
นี่ไม่ได้หมายความว่าแล้วเราจะได้ในสิ่งที่เราต้องการเสมอไป ริชาร์ดเห็นว่าคนเรามักจะได้ในสิ่งที่ เรา พร้อมที่จะได้ เขายกตัวอย่างว่า มีเพื่อนเกย์คนหนึ่ง ที่ใช้เวลาถึงสิบปีในการเปลี่ยนคู่รักไปเรื่อย ๆ ในด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกสนุกกับความสัมพันธ์เช่นนี้ แต่อีกด้านก็รู้สึกสับสนและผิดหวังมาก เหมือนกับตกอยู่ในวังวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้สึกขาดอะไรบางอย่างในชีวิตที่เขาคิดว่าจะหาคนอื่นมาเติมเต็มให้ได้ แต่ในที่สุดสิบปีผ่านไป เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม
และแล้วเขาก็เรียนรู้ที่จะกลับมาย้อนดูตัวเอง ทำความรู้จักกับตัวเองว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ และทำงานภายในอย่างจริงจัง นั่นเองที่ทำให้เขาพร้อมแล้วสำหรับการจะมีความรัก ณ จุดนั้นเองที่เขาได้พบกับคู่รักตัวจริงของเขา ริชาร์ด บอกว่า นั่นก็หลายปีมาแล้ว แล้วทั้งสองก็ยังคงครองคู่กันอยู่
อ๊ะ ๆ แต่ริชาร์ดไม่ได้หมายความว่าความรักนั้นต้องเป็นแบบมีคู่คนเดียวไปจนตลอดชีวิตเท่านั้นนะคะ ไม่ว่าจะความรักแบบรักหลายคน หรือคบคนเดียว เราก็ต้องย้อนกลับมาดูภายในตัวเราทั้งนั้น ว่าเราต้องการอะไรจริง ๆ
คำแนะนำของคุณริชาร์ดที่ให้ย้อนกลับมาดูตัวเองนั้น น่าจะเหมาะสำหรับคนในยุคบริโภคนิยม เพราะยุคนี้เดินไปที่ไหน ๆ ก็มีแต่โฆษณาที่คอยบอกเราว่าความสุขนั้นมาจากการมีสิ่งภายนอกมาเติมเต็มให้เรา ความรักนั้นก็ต้องมีคนมาเติมเต็มให้เราจากภายนอก แต่ริชาร์ดแนะให้เรากลับมาค้นหาภายใน เติมเต็มภายในตัวเราก่อน แล้วนั่นแหละ เราจึงจะพร้อมสำหรับความรัก
สำหรับคนที่ไม่เข้าใจข้อนี้ ริชาร์ดกล่าวว่า เขาจะรู้สึกว่าข้างในเขามีอะไรกลวง ๆ ที่ต้องวิ่งหาสิ่งภายนอกมาเติมให้เต็มอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่วิ่งหาคนรัก แต่ทั้งเหล้า ยาเสพติด อาหาร หรือพฤติกรรมเสพติดอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ แล้วถ้าเราพยายามจะให้คนรักมาเติมเต็มให้เรา ปัญหาที่จะเกิดก็คือ เราจะกดดันให้เขาเป็นในสิ่งที่เราต้องการ โดยที่แม้ตัวเราเองก็ยังเป็นไม่ได้ แล้วเมื่อคนรักทำให้เราไม่ได้ เราก็จะรู้สึกผิดหวัง โกรธ แล้วความสัมพันธ์ก็จะตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด ก็ลงเอยที่เลิกรากัน
จุดนี้ล่ะค่ะสำคัญ ถ้าคนรักเพศเดียวกันยังไม่เชื่อในตัวเองลึก ๆ ว่าความรักของเรานั้นสำคัญ เป็นไปได้อย่างยั่งยืน และมั่นคงแล้ว คนรักคนไหนก็คงไม่สามารถมาเติมเต็มให้ตัวเราได้
และด้วยความที่ประชากรเกย์นั้นมักจะขาดคำแนะนำและการสนับสนุนทางด้านความรักจากครอบครัว นักจิตวิทยาอย่างริชาร์ดก็เลยถูกถามเป็นประจำว่า แล้วจะทำยังไงให้ชีวิตคู่ชาย-ชาย หญิง-หญิงของเรามันเติบโตดีล่ะ เขาก็เลยรวบรวมคำแนะนำสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้ค่ะ
1 พัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร แม้ว่าคนรักสองคนจะเข้าใจกันดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็อย่าเหมาว่าอีกคนจะคิดอย่างที่คุณคิด การเหมาไปอย่างนั้นจะทำให้เกิดอาการเข้าใจผิดกันได้ง่าย แล้วก็จะตามมาด้วยการเจ็บหัวใจ ถ้าเราสงสัยอะไรก็ขอให้ถามอีกฝ่าย พูดคุยกันให้เข้าใจก่อนจะสายไป ริชาร์ดบอกว่า คนที่มาปรึกษาเรื่องความรักกับเขานั้น ครึ่งหนึ่งแค่ไปพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารก็เพียงพอแล้ว
2 มองความต้องการของอีกฝ่ายให้ลึกซึ้ง บางทีเวลาที่คนรักเราบ่นว่า "นี่ เธอวางผ้าเช็ดตัวเกะกะอีกแล้วนะ" จริง ๆ แล้วนั่นอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องผ้าเช็ดตัว แต่คนรักเราอาจจะต้องการอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น เช่น ความใส่ใจ ความเคารพ เราคงต้องมองผ่านคำบ่นเหล่านั้นลงไปหาว่าเธอต้องการอะไรจริง ๆ
3 รู้จักตัวเอง ความรักที่มั่นคงกับอีกคนนั้น เริ่มจากการมีความรักที่มั่นคงกับตัวเราเอง เมื่อเราซื่อสัตย์กับตัวเอง เมื่อนั้นเราก็จะซื่อสัตย์กับคนอื่นได้ ถ้าเราเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ความคิดแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะเรียนรู้ที่จะดูแลคนรักของเราได้อย่างดี ถ้าเราฝึกปฏิบัติบ่อย ๆ เราเองนั่นแหละ จะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับตัวเราเองได้ ไม่ต้องไปดูใครอื่นที่ไหน
4 สื่อสารความรู้สึก บางทีเวลาเราคุยกัน เราอาจจะคุยแต่เรื่องความคิด แต่ตัวเรานั้นยังมีความรู้สึก ซึ่งสำคัญเช่นกัน การสื่อสารความรู้สึกให้อีกฝ่ายรู้ จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราลึกซึ้งขึ้น แล้วเราก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย บางทีความคิดอาจจะเถียงกันไปมาได้ไม่รู้จบสิ้น แต่เวลาเราบอกว่าเรารู้สึกอย่างไร คนรักเราอาจจะรู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน แล้วเธอก็จะเข้าใจเราได้มากขึ้น
5 เถียงอย่างสร้างสรรค์ ไม่มีคู่รักไหนเลยที่ไม่เคยเถียงกัน ถ้าเถียงกันอย่างไม่สร้างสรรค์ ความสัมพันธ์อาจจะร้าวฉาน แต่ถ้าเราทำการเถียงให้สร้างสรรค์ ก็จะเป็นวิธีการทำให้เรารู้จักใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นได้ มีข้อแนะนำในการเถียงอย่างสร้างสรรค์ดังนี้ค่ะ
- เปลี่ยนจากการเผชิญหน้ากันระหว่างเธอและฉัน เป็น เราสองคนหันไปเผชิญหน้ากับปัญหา
- เป็นผู้ฟังที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ขอให้หยุดสักครู่แล้วดูว่าคุณฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างดีแล้วหรือยัง
- ใช้คำว่า "ฉันรู้สึก...." แทนที่จะพูดว่า "เธอทำให้ฉันรู้สึก...." พูดอย่างประโยคหลังอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกกล่าวหาได้ ให้กลับมาสัมผัสกับความรู้สึกภายในของเราจริง ๆ จะดีกว่า
- อย่าเข้านอนอย่างเย็นชา แม้จะยังเถียงกันไม่สิ้นสุด แต่การเข้านอน ก็อาจจะทำให้คุณได้พักผ่อนและหายสับสน ดีกว่านั่งเถียงกันจนรุ่งเช้า ยิ่งเถียงยิ่งเหนื่อย ยิ่งไปกันใหญ่ อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้านอนก็หอมแก้มกันสักหน่อยจะดีกว่าหันแผ่นหลังอันชาเย็นให้กัน
6 หาเพื่อนพึ่งพายามยากที่นอกเหนือจากคนรักคุณไว้บ้าง จะให้คนรักเป็นทั้งพ่อ แม่ เพื่อน พี่น้อง ครู หมอ .... ก็แน่นอนว่าไปไม่รอดแน่ ๆ และคนรักคุณก็จะเครียดจนอยากจะวิ่งหนีคุณไป มีคนอื่น ๆ ไว้บ้าง เพื่อช่วยเหลือกันและกัน และไม่ต้องทำให้คนรักของคุณต้องมารับภาระหนักเกินไป
7 คุณก็ไม่ได้เปอร์เฟคเหมือนกันนะ เราแต่ละคนก็ต่างเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็เลยมีที่มีทางให้เราได้ช่วยเหลือกันและกัน ให้ได้ทำผิดและให้อภัยกัน อย่างนี้แหละความสัมพันธ์มันจึงจะงดงาม
เอาล่ะค่ะ ก่อนจากไปวันนี้ ขอให้คุณๆ ที่มีคู่ทุกคน มีความสุขกับชีวิตคู่ของคุณยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เรียนรู้การรับและการให้จากหัวใจ สัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ที่งดงามผ่านทางคนรักของคุณ ถ้าใครยังไม่มีคู่และต้องการจะมี ก็ขอให้ได้เจอคนที่คุณพร้อมที่จะเป็นคู่ของเขาคนนั้น
แล้วไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็ตาม ขอให้คุณเชื่อเสมอว่า ความรักของคนเพศเดียวกันสามารถเป็นความรักที่ยั่งยืน มั่นคง และงดงามได้ไม่แพ้ความรักของคนต่างเพศเลย
ท้ายที่สุดขอขอบคุณ คุณแฟนเก่า ที่อุตส่าห์ซื้อหนังสือเล่มนี้ให้ * คำแนะนำของฉันสำหรับคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนก็คือ อย่าทิ้งของที่เขาให้ไปซะหมด ของบางอย่างอาจมีประโยชน์สำหรับคุณในอนาคต !*