Skip to main content

ลึกลงไปในถ้อยคำ

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อตอนเด็กๆ  เพียงช่วงเรียนประถม  เราก็ได้รับการสอนว่าด้วยเรื่องมารยาท  เขาบอกเราว่า มันเป็นมารยาทอันดีงามของชาติเรา  หลายครั้งหลายหนในงานใหญ่ระดับชาติ  หรือแม้ในสื่อ โทรทัศน์หรืออื่นๆ  เขาก็มุ่งเน้นกันเรื่องมารยาทบางเรื่องที่ว่ากันว่ามีความหมายสำคัญนักหนา  เช่นคำว่าสวัสดี  ว่ากันว่าคำนั้นสวยงาม  ไม่มีในชนชาติอื่น จริงหรือเปล่า ฝรั่งยังมีคำของเขาว่า Hello ซึ่งก็คือความหมายของการทักทายกัน มีความหมายว่าสวัสดีเหมือนกัน  หรือทางอินเดีย อันเป็นรากของภาษาของเราส่วนหนึ่งก็มีคำว่า นมัสการะ  แล้วว่ากันต่อว่า แต่ละชาติก็มีคำในภาษาของตัวเอง ที่มีความหมายว่า สวัสดี เช่นเดียวกัน  แล้วคำว่าสวัสดีของเรามันต่างจากชาติอื่นตรงไหน   นอกจากนั้นก็มีคำพูดจำพวก ขอบคุณ ขอบใจ ขอโทษ  อะไรพวกนี้อีกมาก  นอกนั้นก็มีเรื่องกิริยา การไหว้มากมายหลายแบบ ไหว้ผู้ใหญ่ ไหว้พ่อแม่ ไหว้พระ ไหว้เด็ก ก็มีรูปแบบต่างกันออกไป 


 


ทั้งหมดนี้โรงเรียนพร่ำสอนเรา  ถ้าจำได้ไม่ผิด เวลานั้นที่เราได้รับการสั่งสอนเรื่องกิริยามารยาท  ทั้งหมดนั้นเรากลับไม่ได้รับการถ่ายทอดว่า เมื่อเวลาที่เรากล่าวคำขอบคุณนั้นให้เรากล่าวด้วยทั้งหมดของเรา  กล่าวมันออกมาจากหัวใจและวิญญาณของเรา  เมื่อเรากล่าวขอโทษก็ให้เรากล่าวออกมาเมื่อเราสำนึกว่าเราได้ทำผิดพลาดไปจริงๆ  เมื่อเรากล่าวคำยินดีก็ด้วยเรารู้สึกทั้งหัวใจว่าเรื่องราวที่เราได้ทำหรือได้รับนั้นมันมีค่า  มีความหมายอย่างแท้จริง


 


เมื่อเราโตขึ้นไปผู้ใหญ่  ใช้ชีวิตในสังคม  พบปะสนทนาเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย  คำพูดเหล่านี้ถือเป็นมารยาทสำคัญในชีวิตประจำวัน  บางคนสามารถกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ด้วยความคุ้นเคย  บางคนก็กล่าวมันออกมาได้ยากเย็น  แต่มีหลายครั้งหลายหนที่พบว่า  เรากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกไปเพียงเพราะเป็นมารยาทอันดีที่ถูกตราเอาไว้ในบทเรียนเท่านั้น   เรากล่าวออกไปเพราะมันต้องกล่าวออกไป  มันอาจจะมีความหมายในถ้อยคำ  แต่มันกลับไม่ได้มีความหมายที่สื่อออกมาจากภายใน นี่ว่ากันตามที่เห็นๆ เป็นส่วนใหญ่  แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด  และทั้งหมดนั้นก็ดูเหมือนเราจะคุ้นเคยกับมัน  มันกลายเป็นความธรรมดา  ที่วันหนึ่งๆ เราจะได้ยินคำขอบคุณ ขอโทษ  สวัสดี  ยินดี  เหล่านี้มากมาย  และเราเองก็ต้องกล่าวคำ สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ ยินดี ในหลายๆ ครั้งในแต่ละวัน  และดูเหมือนลึกๆ เราก็ต้องการเพียงเท่านั้น  เราต้องการเพียงถ้อยคำ โดยที่สุดแล้ว เราก็ไม่ได้มองเข้าไปภายในว่าแท้จริงแล้วเรารู้สึกอย่างไรจริงๆ  เวลาที่เราได้รับ หรือกล่าวคำเหล่านี้ออกไป


 


ในบางสังคมที่พานพบ มันมีอยู่จริง  ที่วันๆ  ผู้คนก็พูดคุย สนทนากันด้วยถ้อยคำและเรื่องราวมากมาย  พวกเขาเอาแต่พูด พูด พูด  ต่างคนต่างพูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูด เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ไม่ได้ฟังอีกคนที่กำลังพูด  หากแต่เขากำลังมัวแต่คิดว่า  เมื่อคนนี้พูดจบเขาจะพูดอะไรต่อไป  ในวงสนทนาแบบนี้  เมื่อทุกคนเดินออกมาจากวง  ก็ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรของอีกคนเลย  พวกเขาอาจจะรู้สึกสนุกที่ได้คุยกัน  ลึกลงไปกว่านั้น  พวกเขาสนุกที่ได้พูดอะไรออกมามากมาย ได้โอ้อวดว่าสิ่งที่เราพูดไปนั้นแสนฉลาดหลักแหลม คมคาย  นั่นพวกเขาต่างมีความสุขที่ได้แสดง  โดยก็ลืมไปว่าไอ้ที่เราแสดงไปนั้นก็ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะต่างคนก็ต่างแต่สนใจการแสดงของตัวเอง .... 


 


เราดำรงอยู่ในโลกแบบไหนกัน  โดยกรอบของสังคมที่ถูกจัดวาง และเรียงเรียงเรื่องราวไว้ในความคุ้นชินของเรา  จนมันกลายเป็นภาพที่เราต้องได้กระทำสิ่งนั้นๆ  ในแต่ละวัน  เราพูดสิ่งต่างๆ มากมายในแต่ละวัน แต่ทั้งหมดนั้นมันมีความหมายอยู่มากน้อยเพียงใด  เราฟังเรื่องราวต่างๆ มากมายในแต่ละวัน  แต่เราได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด  ทั้งหมดนั้นเพราะเราดำรงอยู่อย่างเป็นปัจเจกภาพท่ามกลางแวดล้อมของผู้คนหรือเปล่า


 


ยุคสมัยทำให้เรามีเวลาน้อยเกินไป เกินกว่าที่เราจะสามารถสืบค้นถ้อยคำของเราได้  ในวันหนึ่งๆ  มีกี่ครั้งที่เรากล่าวถ้อยคำออกไปอย่างไร้แก่นสารสาระ  และบางครั้งเราก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับถ้อยคำบางถ้อยคำเท่าไหร่นัก    หากว่าการกล่าวถ้อยคำแต่ละคำ เราได้ไตร่ตรองสักนิด  หรือให้ถ้อยคำนั้นๆ มันผุดโผล่ออกมาจากหัวใจของเราอย่างแท้จริงแล้ว   มันก็คงเป็นถ้อยคำที่เปี่ยมความหมาย และมันจะมีผลต่อชีวิต ทั้งเราและคนรอบข้าง  หรือถึงบางถ้อยคำมันก็จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของคนให้ดีงามมากขึ้น  หรือถ้าตรงข้าม มันก็ทำลายผู้คนได้เช่นกัน 


 


อย่างไรก็ตาม เราก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อถ้อยคำของตัวเอง  วาไปมันก็มีอยู่แล้วในชีวิตของเรา  เพียงแต่ว่า หลายหนเงื่อนไขหลายอย่างก็ทำให้เราไม่ต้องรับผิดชอบใดใดต่อถ้อยคำที่กล่าวออกมา    วาระเหล่านั้นถ้อยคำมันก็มาจากความคุ้นชิน  เหมือนมันถูกบันทึกไว้แล้ว  เพียงแค่เปิดเครื่องมันก็เปล่งเสียงออกมา  ว่าในแง่นี้ถ้าเราให้ความหมายต่อการสนทนาของเรา ซึ่งมันประกอบด้วยการพูดและฟังอย่างจริงจังตั้งใจแล้ว  อย่างน้อยมันก็คงทำให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น  เพราะนอกเหนือจากการกระทำของเราทั้งหลายทั้งปวงในแต่ละวันแล้วถ้อยคำก็เป็นเรื่องสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งชีวิต 


 


เช่นนั้นแล้ว


ณ บัดนี้


เราจะกล่าวถ้อยคำใด