Skip to main content

ความหวังของเด็กบ้านดอย

คอลัมน์/ชุมชน

ความหลังเดินทางมาเยือนถึงบ้านเช่าอีกครั้ง...
ในวันท้องฟ้าโปร่ง อากาศสด แดดส่องแสง                                                                               


"อะตา" ชาวบ้านเผ่าลีซูบ้านน้ำบ่อใหม่ จากดอยสูงในเขตอำเภอเวียงแหง อำเภอเล็กๆ ติดชายแดนไทย-พม่า เดินทางลงมาขอพักอาศัยที่บ้านเช่าของผมในเขตอำเภอแม่ริม เขาเป็นลูกศิษย์ผมเมื่อครั้งสอนหนังสือบนดอยแห่งนั้นมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน

เขาเดินทางมาพร้อม"อาหมี่มะ" กับ "อะซา" ภรรยาและลูกชายตัวน้อยของเขา

อะตาติดต่อมาล่วงหน้าเมื่อเดือนก่อนแล้ว ว่าหมอนัดให้ลงมานอนผ่าตัดไส้ติ่ง เขาจึงขอพาลูกเมียมาพักที่บ้านผม เพราะอยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาลนครพิงค์ ผมบอกกับเขา มาเลยๆ พลางคิดในใจว่า เออดี...บ้านจะได้เป็นบ้าน ยิ่งมีเสียงของเด็กๆ หัวเราะ ร้องไห้ วิ่งไปวิ่งมา ยิ่งทำให้บ้านมีชีวิตมากขึ้น มิใช่หรือ...

ทุกวัน...ทั้งแม่และเด็กจะตื่นแต่เช้าตรู่คงเป็นความเคยชินเหมือนตอนอยู่บนดอย
อะซาตัวน้อยจะวิ่งเล่น เดี๋ยวนอนเปลหน้าบ้าน เดี๋ยวบ่น เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ...
ส่วนแม่ก็หุงข้าว ล้างจาน ทำกับข้าว แล้วก็เรียกอะซามากินข้าว...
พอแดดสาย...อาหมี่มะจูงมืออะซาพากันออกเดินทางไปตามตรอกซอกซอย ก่อนไปโผล่ที่หน้าโรงพยาบาล  


"บ๊าย บาย..." นึกถึงภาพของอะซาตัวน้อยโบกมือทักทายผมทีไร พลอยทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ทุกที...


 

 






 


ทุกเช้า ทุกเย็น...ผมชอบหยอกล้อกับ "อะซา" เด็กลีซูตัวน้อยคนนี้ ดวงตาของแกสดใส ร่าเริง กล้าหาญ ไม่ขี้อาย ขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อะซาชอบมาพูดคุยกับผมด้วยภาษาลีซู ไม่ชัดถ้อยชัดคำ ผมก็พลอยยิ้มเออๆ ออๆ ไปกับแกด้วย

นานแล้วที่ผมไม่ได้พูดภาษาลีซู...
นึกนานหลายนานกว่าจะเอ่ยออกมาแต่ละประโยค

"นูนือบาลีแบ๊..." ผมเอ่ยถามชื่อเด็กน้อย

"อะซ้า..."

"หย่าเมี๊ยะ..." อร่อยมั้ย

"หย่าเมี๊ยะ.." อร่อย

"อาละเหยี๊ยะ..." จะไปไหน...

"กั๊บปี้หย๊ะ..." ไปเที่ยว...

แล้วจู่ๆ ก็ทำให้ผมนึกไปถึงภาพเก่าๆ อีกครั้ง...


เนิ่นนานทว่ายังแจ่มชัดและแจ่มใส                                                                



* * * * *





วันนั้น, แดดบ่ายสาดแสงร้อน อบอ้าว เปลวแดดเต้นยิบยิบจนแสบตา- -
ลมแล้งพัดเอาฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจายเข้ามาภายในเพิงพักที่ใช้สำหรับจัดการเรียนการสอน ให้เด็กนักเรียนชาวไทยภูเขา อากาศร้อนผะผ่าวอย่างนี้ ทำให้เด็กๆไม่มีสมาธิที่จะนั่งเรียนได้เลย เพราะดูดวงตาละห้อย ชะเง้อมองฝ่าออกไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย…

ผมตัดสินใจหยุดพักการเรียนนั้นชั่วคราว บอกเด็กนักเรียนทั้งหมดลงไปเล่นน้ำในลำห้วยท้ายหมู่บ้าน

พอสิ้นเสียง…ทั้งเด็กเล็กเด็กโตต่างกระโดดโลดเต้น ร้องเฮด้วยความดีใจ

ในที่สุด วิถีของพวกเจ้า ก็กลับคืนสู่ห้วงธรรมชาตินั้นอีกครั้งหนึ่ง…

เด็กโตพากันวิ่งลิ่วนำหน้าลงไปในหุบห้วย ปล่อยทิ้งให้เจ้าตัวเล็กตัวผ่ายผอมมอมแมมวิ่งล้มลุกคลุกคลาน ร้องไห้จ้าอยู่ข้างหลัง จนผมต้องคอยปลอบให้หยุดร้องพร้อมกับจับตัวเล็กขึ้นขี่คอวิ่งตามพวกนั้นไป

มันเป็นความรู้สึกที่อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ขุนเขา ป่าไม้ สายน้ำ สายลม แสงแดด ฯลฯ ยิ่งยามเมื่อชีวิตอยู่ท่ามกลางโลกกว้างของเด็กน้อยบนภูเขา หัวใจพลันสดชื่น บริสุทธิ์ เบิกบานยิ่งนัก

จนบางครั้ง ผมอดไม่ได้ที่นั่งเฝ้ามอง และหยิบดินสอกับสมุดออกมาบันทึกไว้เป็นบทกวี…ชีวิตแสนงาม...


เช้าเช้า…เราเรียนหนังสือในเพิงพัก
สายสาย เราวิ่งไล่จับผีเสื้อไพรกลางทุ่งหญ้าความฝัน
แดดบ่ายเริงแรง ชีวิตเราไม่ใส่ใจ
วิ่งลิ่วลงไปในหุบห้วย จับปลาในหลืบหิน
ช่วยกัน ช่วยกันนะพวกเรา
เย็นนี้เราจะหลามปลากินร่วมกัน



บางค่ำของบางวัน…ขณะที่ผมกำลังนอนเปลอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ อยู่นอกระเบียงไม้ไผ่หน้าศูนย์การเรียน

" ครู ครู ไปเก็บมุมุสึ "

เสียงของอะเลผะ เด็กนักเรียนตัวโตตะโกนร้องเรียกผมไปเก็บมะม่วงป่า ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ พยักหน้ายิ้มตอบรับ แล้วเราก็พากันเดินขึ้นเนินเขาพร้อมกัน...

ในหน้าร้อนเดือนพฤษภาคม มะม่วงป่าลูกเล็กๆ จะร่วมหล่นเต็มตามโคนต้น เด็กบ้านป่าจะรู้และตื่นตัวเตรียมพร้อม แต่ละคนสะพายย่ามสีขี้ไคล ชักชวนกันไป เดินตีนเปล่า ฝ่าเปลวแดดร้อนผ่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน สองเท้าก้าวขึ้นเนินเขานั้นอย่างปราดเปรียวชำนาญและมั่นคงเพราะทางเดินเล็กๆสายนี้ เป็นเส้นทางที่พวกเขาคุ้นเคยมาหลายฤดูกาล

จริงสิ, ความฝัน ความหวังของเด็กบนดอยนั้น
ไม่ได้วาดหวังอะไรใหญ่โตมากมาย
พวกเด็กดอยขอเพียงมีข้าวกินพอหายหิว
มีเพื่อนวิ่งเล่นตามลานบ้าน ตามลำธารและท้องทุ่งหญ้า
มีความสุขกับการชักชวนกันเข้าป่า
เสาะหาพืชผัก ผลไม้ป่า มาแบ่งปันกันกินบ้าง
เพียงเท่านั้นเอง

มาถึงตรงนี้แล้ว...ผมไม่รู้ว่า...
เด็กในเมืองข้างล่างนั้นเล่า….
ตอนนี้พวกเขาฝัน เขาหวังถึงสิ่งใดกันบ้างหนอ...