หญิงรักหญิงรับรางวัล "ผู้หญิงปกป้องสิทธิมนุษยชน"
คอลัมน์/ชุมชน
"แผ่นดินนี้มีดีที่แตกต่าง เมืองนี้เปิดกว้างความฝันใฝ่ ความแตกต่างใช่แตกแยกให้แปลกไทย ใครโยงใยชักใยแยกแปลกเผ่าพันธุ์ ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ อยู่รักษา บอกไม้ดอกบอกค่าอย่าไหวหวั่น หลากเพศหลายสีมีอนันต์ อยู่รักษา ไว้ให้มั่นความเท่าเทียม" ญิบ พันจันทร์
วันสตรีสากลประจำปีนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มอบรางวัลดีเด่น "ผู้หญิงปกป้องสิทธิมนุษยชน" ให้แก่ผู้หญิง 3 ท่าน คือ ร้อย สีหาพงษ์ หรือป้าร้อยของชาวชุมชนริมทางรถไปคลองเตย ที่ต่อสู้กับการไร่รื้อชุมชน
แยนะ สะแลแม หรือกะน๊ะของชาวตากใบ ผู้ต่อสู้เพื่อผู้ที่ถูกฟ้องร้องในคดีตากใบ และฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ผู้ประสานงานกลุ่มสะพานและเป็นหนึ่งในคณะทำงานเพื่อสนับสนุนและปกป้องสิทธิบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ คนนี้ล่ะค่ะที่เป็นหญิงรักหญิงและทำงานเพื่อหญิงรักหญิง
คุณฉันทลักษณ์ นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนทำงานด้านความหลากหลายทางเพศค่ะ เพราะด้วยความที่เธอทำงานด้านนี้มานาน ตั้งแต่ปี 2538 เธอก็เริ่มมาช่วยงานของกลุ่มอัญจารีในการทำจดหมายข่าว แล้วจึงเข้ามาเป็นบรรณาธิการวารสารอัญจารีสาร พอปี 2543 ก็เข้ามาทำงานเต็มตัว โดยรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกลุ่มอัญจารี งานสำคัญในช่วงนั้นคือ ได้ร่วมกับองค์กรที่ทำงานในประเด็นคนรักเพศเดียวกัน เสนอให้กรมสุขภาพจิตออกจดหมายรับรองว่าการเป็นคนรักเพศเดียวกันไม่ได้เป็นโรคจิต ซึ่งนี่เป็นความเชื่อที่แพร่หลายอยู่ในสังคมและในแวดวงจิตวิทยา ผลจากการผลักดันนี้ทำให้กรมสุขภาพจิตออกหนังสือรับรองทางวิชาการว่ารักเพศเดียวกันไม่ได้เป็นโรคจิตในปี 2545
จากนั้นคุณฉันทลักษณ์ ได้ร่วมกับเพื่อนก่อตั้งกลุ่มสะพานขึ้น เพื่อทำสื่อเผยแพร่ความเข้าใจเรื่องคนรักเพศเดียวกัน มีการทำเว็บไซต์ ทำหนังสั้นหญิงรักหญิง และจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับหญิงรักหญิง ภายใต้ชื่อสำนักพิมพ์เล็กๆ ปีที่แล้วนี้ ในฐานะคณะทำงานเพื่อสนับสนุนและปกป้องสิทธิบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ เธอได้ดำเนินการศึกษาและตรวจสอบระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเสนอมาตรการแก้ไขบันทึกผลการตรวจเลือกทหารกองเกิน (สด. 43) ซึ่งเมื่อมีบุคคลแปลงเพศหรือคนข้ามเพศมาเข้ารับการตรวจเลือกก็จะได้รับใบสด. 43 ที่ระบุว่าเป็น "โรคจิต" ผลของการดำเนินงานทำให้ในปีที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมมีคำสั่งมิให้ระบุในใบสด. 43 สำหรับผู้ที่แปลงเพศหรือคนข้ามเพศว่าเป็นโรคจิต และขณะนี้คณะทำงานก็ดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ดำเนินการแก้ไขใบสด. 43 ที่ออกไปในอดีต เพราะการระบุว่า "โรคจิต" นั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ศาลปกครองได้รับฟ้องไปแล้วเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้
ในอีกด้านหนึ่งนั้นคุณฉันทลักษณ์ยังคงทำงานเขียนด้านความหลากหลายทางเพศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแนวเขียนเชิงบทความวิพากษ์อคติของสังคมต่อคนรักเพศเดียวกัน คอลัมน์ผู้หญิงสีรุ้งนี้ก็เริ่มต้นขึ้นมาเพราะเธอคนนี้นี่เอง เธอยังมีงานเขียนประเภทเรื่องสั้นและนิยายอีกหลายเรื่อง หลาย ๆ คนรู้จักชื่อนามปากกา "มน.มีนา" ของเธอดี
สำหรับน้อง ๆ ที่อยู่ในแวดวง เธอเป็น "พี่เล็ก มีนา" พี่ที่จะคอยรับฟังปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องหัวใจ เรื่องครอบครัว เรื่องการถูกเลือกปฏิบัติ ปัญหาบางเรื่องเธอก็นำไปเป็นสื่อสารต่อให้สังคมรับรู้ว่า อคติต่อคนรักเพศเดียวกันนั้นมันส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเราอย่างไรบ้าง บ้านของพี่เล็กคอยเปิดประตูต้อนรับให้พวกเราได้ไปปรึกษาหรือพบปะพูดคุยกันเสมอ ว่าง ๆ เธอก็จะเป็นแม่ครัวยกครกมาตำส้มตำรสแซ่บให้พวกเรากินแกล้มการเสวนา
ในงานมอบรางวัลที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2550 ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เธอบอกว่ายังมีงานที่ต้องทำต่อในอนาคตก็คือ การสร้างความเข้าใจต่อคนรุ่นใหม่ให้เติบโตขึ้นมาโดยไม่มีอคติต่อคนที่มีความแตกต่างทางเพศ รวมทั้งจะสานต่องานสร้างความเข้าใจต่อสังคมต่อไป เพราะคนรักเพศเดียวกันต่างก็ต้องอยู่ในสังคมนี้ รวมทั้งยังมีงานผลักดันกฎหมายหรือนโยบายที่จะรับรองชีวิตคู่ เพราะเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาสำหรับคู่รักที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถมีสิทธิดั่งคู่รักต่างเพศได้
พิธีกรในงานถามว่า ทำงานที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานมากขนาดนี้ เคยท้อหรือล้าไหม
เธอตอบว่า "ไม่ค่ะ เหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เหมือนทุกวันเราต้องกินข้าว ก็คงจะทำต่อไปเรื่อย ๆ"
การมอบรางวัลผู้หญิงปกป้องสิทธิมนุษยชนให้กับผู้ที่ทำงานด้านความหลากหลายทางเพศนี้ น่าจะเป็นการเปิดพื้นที่ของสิทธิมนุษยชนให้กว้างขึ้น คนที่ทำงานด้านสิทธิบางคนยังไม่ทราบค่ะว่าเรื่องความหลากหลายทางเพศนั้นเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนอย่างไร บางคนยังมีอคติต่อคนรักเพศเดียวกันและกะเทยอย่างมากจนน่าตกใจค่ะ คงต้องมีคนมาร่วมช่วยกันต่อสู้กับอคติและการเลือกปฏิบัติอีกมาก
ท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีจากใจและขอเป็นกำลังใจให้พี่เล็กในการทำงานเพื่อชาวสายรุ้งต่อไป