Skip to main content

เพลงเตหน่ากู : ตอนกำเนิดบทเพลง เตหน่ากู

คอลัมน์/ชุมชน

"เตหน่า อะ ปลี เลอ จอ ชื่อ  ปวา เด เหม่ เซ เก่อ หน่า หมึ"


ส่ายเตหน่าทำมาจากจอชื่อ  หากใครเล่นเป็น ฟังแล้วไพเราะ


(ธา บทกวีของชนเผ่าปวาเก่อญอ) 


 


เวลาในการมัดมือใกล้เข้ามาทุกขณะ  เจ้าเมืองร้อนใจกลัวไม่มีหนุ่มๆ คนใดในเมืองที่สามารถทำให้ธิดาของตนตื่นขึ้นมาร่วมพิธีกรรมมัดมือได้ ในส่วนหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในเมืองต่างเตรียมทีเด็ดของตนที่จะทำให้ธิดาเจ้าเมืองตื่นมาร่วมงานให้ได้ 


 


เว้นแต่เด็กกำพร้าที่มัวแต่เฝ้าไร่และยุ่งอยู่กับท่อนไม้ที่โค้งงอของเขา 


"เอาไปทำเป็นอุปกรณ์ที่ไล่สัตว์ป่าน่าจะดี"   เด็กกำพร้าคิดในใจพร้อมกับใช้นิ้วแตะสายของมันให้ส่งเสียงดังเพื่อไล่สัตว์ป่า 


"ไม่ได้…เสียงมันเบานุ่มและเสียงมันไพเราะเกินที่จะไล่สัตว์ป่าได้" เขาครุ่นคิดในใจเพื่อหาทางที่จะใช้มัน


"หรือมันจะเป็นแค่ท่อนไม้งอที่มีรูปทรงประหลาด ไม่มีประโยชน์และความหมายอะไร" เขาวางท่อนไม้ที่โค้งงอนั้นลง เหมือนสุนัขที่เห็นเต่าและเห่าเต่าอยู่ใกล้ๆแต่ไม่สามารถกินเต่าได้  


 


เด็กกำพร้าได้แค่นั่งมองมันโดยที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร  แต่เขาก็ไม่ยอมละความพยายาม  เขายังนั่งยองๆกระพริบตาถี่ๆ ขบคิดอย่างจริงจัง เขาคิด..คิดจนหิวข้าว  แต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี จนเขาตัดสินใจที่จะปล่อยมันให้อยู่อย่างนั้น 


 


แต่ก่อนยอมเขาใช้นิ้วดีดมันอย่างตั้งใจอีกครั้ง


"กรู-นา!!" พลังเสียงของมันทะลุเข้าสู่ขั้วหัวใจของเด็กกำพร้า จนทำให้เด็กกำพร้ามิอาจปล่อยมันไปได้


"เธอต้องอยู่กับฉัน ฉันจะแต่งเพลงให้เธอ เราต้องขับขานร่วมกัน" เขาจับอุ้มท่อนไม้ที่โค้งงอนั้นไว้อีกครั้ง เขาสัญญากับตัวเองว่าเขาจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว 


"เยอ เก่อ เด นา เส่ เกะ กู    มอ เนอ เก่อ ส่อ ธ่อ กรูกรู" แปลว่า ฉันจะดีดเธอท่อนไม้ที่โค้งงอ ขอให้เธอส่งเสียงกรูกรู มันคือเพลงบทแรกที่เด็กกำพร้าแต่งให้ท่อนไม้ที่โค้งงอของเขา 


 




 


พรุ่งนี้จะถึงพิธีมัดมือแล้ว  เด็กกำพร้ายังคงหมกมุ่นอยู่กับการแต่งเพลงให้ท่อนไม้ที่โค้งงอของเขาแต่ในใจก็คิดถึงรูปร่างหน้าตาของธิดาเจ้าเมืองนิดๆเช่นกัน  คืนนั้นกว่าจะแต่งเพลงเสร็จไก่เกือบขันเรียกคนให้ตื่นอีกวันแล้ว 


 


ในวันงานพิธีมัดมือ ลูกสาวทั้งหกคนของเจ้าเมืองต่างตื่นขึ้นมาตำข้าวหุงข้าวแต่เช้า  ผู้คนต่างมากันที่บ้านเจ้าเมืองล้นหลามแต่เช้าเช่นกัน แต่ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมืองยังคงหลับผักผ่อนเอาแรงไม่ยอมตื่นอย่างที่ว่าเอาไว้ 


 


เจ้าเมืองจึงเริ่มให้หนุ่มๆที่อาสาจะไปปลูกธิดาคนสุดท้องให้ตื่นขึ้นมาร่วมงาน ขบวนหนุ่มๆที่ต่อคิวกันมายาวเหยียดกว่าแม่น้ำเจ็ดสายมารวามกัน 


 


คนแรกเข้าไปตะโกนที่หูของธิดาองค์สุดท้องของเจ้าเมือง เขาตะโกนจนเสียงแหบ แต่เธอไม่ตื่น คนแรกจึงเดินส่ายหัวออกมา  คนที่สองไปตีกลองข้างหู ตีจนมือบวมไปหมด แต่เธอไม่ตื่น คนที่สองจึงเดินส่ายหัวออกมา คนที่สามไปกระทืบเท้าที่พื้นข้างหู กระทืบจนเท้าเคล็ดไปหมด แต่เธอไม่ตื่น คนที่สามจึงเดินส่ายหัวออกมา  


 


คนแล้วคนเล่าก็เดินส่ายหัวออกมาทุกคน  เจ้าเมืองก็ส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่าจนเวียนหัวไปหมด จนคนที่เจ็ดร้อยซึ่งเป็นชายหนุ่มคนสุดท้ายในหมู่บ้าน  เขาได้เอาครกกระเดื่องตำข้าวไปตั้งไว้ข้างหู 


"คราวนี้แหละ ตื่นแน่นอน" ชาวบ้านต่างมั่นใจอย่างนั้นรวมทั้งชายคนนี้ด้วย 


 


หนุ่มคนที่เจ็ดร้อยเริ่มเหยียบครกตำข้าว เหยียบครั้งที่หนึ่งบ้านสะเทือนไปทั้งหลัง  เหยียบครั้งที่สองไม้ที่ทำโครงบ้านหักไปหนึ่งอัน เหยียบครั้งที่สามเสาบ้านโยกไปหนึ่งต้น ธิดาเจ้าเมืองขยับตัวนิดหน่อยแล้วก็หลับต่อ ชาวบ้านส่งเสียงกันมากเพราะเริ่มมีความหวังแล้ว 


 


ชายหนุ่มคนที่เจ็ดร้อยโหมเหยียบเต็มที่ แต่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนเธอก็ไม่ยอมตื่นจนชายหนุ่มทำท่าจะหยุดเหยียบครกกระเดื่องเพราะหมดแรงแล้ว 


 


"อีกนิดนึง เดี๋ยวก็ตื่นแล้ว พยายามหน่อย" ชาวบ้านพยายามเอาใจช่วยและไม่อยากให้หยุด จนชายหนุ่มเริ่มเหยียบต่อ จากเท้าขวาเปลี่ยนมาเป็นเท้าซ้ายเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนในที่สุดเท้าของชายหนุ่มคนนี้เคล็ดทั้งสองข้างมีอาการบวมจนไม่สามารถเดินและยืนได้ ชายหนุ่มล้มทั้งยืนชาวบ้านต้องช่วยกันประคองและปฐมพยาบาล ชาวบ้านและเจ้าเมืองต้องคอตกเพราะลูกสาวคนสุดท้องยังไม่ยอมตื่น 


 


"มีชายหนุ่มในเมืองหลงเหลืออีกมั้ย?" เจ้าเมืองประกาศหาคนที่จะมาปลุกลูกสาวของตน แต่ว่าชายหนุ่มในเมืองหมดแล้ว จึงไม่มีใครอาสามาอีกเลย จนในที่สุด 


"ยังมีอีกคนหนึ่งครับ ลุงเจ้าเมือง" ใครคนหนึ่งเอ่ยออกมา


"ใคร มันอยู่ไหน ไปเรียกมาเร็ว" เจ้าถามหาใครคนนั้น


"เจ้าเด็กกำพร้าครับ มันอยู่ในไร่โน้น" เขาพูดจบชาวบ้านทุกคนต่างมองเขาด้วยสายตาเขม่น


"ถ้าเป็นเด็กกำพร้าไม่ต้องให้มาก็ได้ ถึงมาก็ไม่มีความหมายหรอก" ชาวบ้านต่างบอกกับเจ้าเมือง 


 


แต่ก็ไม่มีใครคิดหาทางออกได้  ทำให้เจ้าเมืองกลุ้มมาก เจ้าเมืองคิดแล้วคิดอีก ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงบอกให้บริวารของว่า


"ไหนๆ ก็เหลือคนเดียวแล้ว ลองไปเรียกมันมาซิ" บริวารของเจ้าเมืองจึงไปเรียกเด็กกำพร้ามา 


 


ณ ที่ไร่ของเด็กกำพร้า แสงแดดเริ่มแรงแล้วเด็กกำพร้าเพิ่งตื่น เนื่องจากเมื่อคืนเพลินกับการแต่งเพลงร่วมกับท่องไม้ที่โค้งงอของเขา ทำให้เขาหลับดึกและตื่นสาย กอปรกับโดยปกติแล้วเด็กกำพร้าเป็นรักอิสระจึงใช้ชีวิตอิสระในไร่ อยากตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่นไม่เดือดร้อนใคร 


 


เช้านี้แปลกกว่าทุกเช้า ยังไม่ทันกินข้าวก็มีคนมาหาถึงไร่ แปลกกว่านั้นคือคนที่มาหาเป็นคนของเจ้าเมืองอีกต่างหาก  เมื่อคนของเจ้าเมืองอธิบายวัตถุประสงค์ของการมาให้เด็กกำพร้าฟังแล้วเด็กกำพร้าก็หัวเราะ 


"ไปบอกเจ้าเมืองว่า ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก ข้าพเจ้าไม่กล้าไป พวกเจ้ากลับไปเถิด" คนของเจ้าเมืองเมื่อได้ยินดังนี้ก็บอกเด็กกำพร้าว่า ถ้าไม่ไปกับเขากลับไปเจ้าเมืองต้องเอาตายแน่ แต่เด็กกำพร้าก็ไม่ยอมไป คนของเจ้าเมืองคุกเข่าขอร้องและร้องห่มร้องไห้ จนเด็กกำพร้าใจอ่อน 


 


เด็กกำพร้าไปกับคนของเจ้าเมืองพร้อมท่อนไม้ที่โค้งงอของเขา กับหยิบข้าวสุกหนึ่งกำมือและถั่วเน่าหนึ่งห่อเพื่อเป็นเสบียง ทางฝ่ายเจ้าเมืองรอจนใกล้จะเที่ยงแล้วแต่คนของตนไปเรียกเด็กกำพร้าไม่กลับมาสักที 


 


เมื่อเด็กกำพร้ามาถึง ชาวบ้านต่างหัวเราะที่เด็กกำพร้าเอาอะไรมาก็ไม่รู้ โค้งๆงอๆ


"จะไหวเรอะ? ขนาดครกกระเดื่องตำข้าวยังเอาไม่อยู่" ชาวบ้านต่างพูดขึ้นมา


"ไม่มีประโยชน์หรอก เสียเวลาเปล่า" เสียงของชาวบ้านอีกบางกลุ่ม 


 


เมื่อถึงเวลาเด็กกำพร้าก็ขึ้นไปในบ้านของเจ้าเมืองที่ลูกสาวคนสุดท้องนอนอยู่ เมื่อเด็กกำพร้าเห็นหน้าลูกสาวเจ้าเมืองแล้วเกิดอาการประหม่าและตัวสั่น จังหวะที่เด็กกำพร้าเข้าไปใกล้นั้นลูกสาวเจ้าเมืองหาวออกมาพอดี  เด็กกำพร้าจึงทิ้งข้าวหนึ่งกำมือและถั่วเน่าอีกครึ่งหนึ่งลงในปากของเธอ แล้วเด็กกำพร้าก็เอาถั่วเน่าที่เหลือยัดใส่รูจมูกของเธอทั้งสองรู 


 


สักพักลูกสาวเจ้าเมืองเริ่มหายใจไม่ออกและกระดุกกระดิกตัว จนเธอตื่นขึ้นมาแล้วบ้วนข้าวกับถั่วเน่าใส่หน้าเด็กกำพร้า แล้วเอาถั่วเน่าที่รูจมูกใส่ปากเด็กกำพร้า ทำให้ชาวบ้านต่างหัวเราะเยาะเย้ยเด็กกำพร้าเสียงดังลั่น 


"ไอ้บ้า!!!!..ถ้าฉันตายจะทำยังงัย??" เธอด่าเสร็จเธอเอนกายลงหลับต่อ เด็กกำพร้ายิ้มนิดๆ ในช่วงจังหวะที่เธอยังหลับไม่สนิทนั่นเอง


"อีขี้เกียจเอ้ย!! ตื่นเถิด เจ้าจะนอนให้โยนีของเจ้าใหญ่ขึ้นหรือ?" เด็กกำพร้าพูดจบชาวบ้านหัวเราะกันดังลั่นอีกครั้ง ลูกสาวเจ้าเมืองรู้สึกอายและโกรธมาก


"ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่ามายุ่ง" เธอลุกขึ้นมาด่าเด็กกำพร้าเสร็จเธอก็เอนกายลงหลับต่อเหมือนเคย 


 


เด็กกำพร้าหยิบท่อนไม้ที่โค้งงอของเขา ชาวบ้านต่างงงและสงสัยว่าเด็กกำพร้าจะทำอะไร  เด็กกำพร้าเริ่มดีดท่อนไม้ที่โค้งงอของเขาและเปล่งเสียงออกมา เป็นบทเพลงที่เขาแต่งเมื่อคืนที่ผ่านมา 


"กรูนา กรูนา คุ ลอเส่ เลอ ที ฉ่า ปู คุ ลอ หว่า เลอ ที ฉ่า ปู


เส่ เด เกะ เก เตหน่า  กู    หว่า เด เกะ เก เหน่  กู


เด เลอ เดอ เลอ บลอ หน่า ฮู   เด เลอ บลอ เลอ เดอ หน่า ฮู


หน่อ เต่อ กา ซะ เต่อ หน่า ฮู  มี เส่อ เป อะ โหม่ บอ ฮุ


กรูนา กรูนา ไปฟันไร่ที่กลางห้วย  ไปฟันไร่ที่กลางป่า


ท่อนไม้โค้งงอ ทำเตหน่ากู  กิ่งไผ่งอ ทำเตหน่ากู


เล่นที่ไร่ที่บ้านได้ยิน   เล่นที่บ้านที่ไร่ได้ยิน


นางผู้หนึ่งหลับใหลจนไม่ได้ยิน  แม่ต้องเขย่าให้เธอตื่นมาฟัง"


 


ช่วงที่เด็กกำพร้าขับบรรเลงเพลงทุกคนเงียบฟัง รวมทั้งลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมืองเองก็หลับตาฟังเช่นกัน  โดยหลังจากที่เด็กกำพร้าร้องเพลงจบลง


 


"ใช่ ใช่ นางไม่ได้ยินหรอก นางหลับใหลขนาดนั้น" ชาวบ้านต่างพูดในเสียงเดียวกัน 


ลูกสาวเจ้าเมืองที่ยังหลับไม่ค่อยสนิทยิ่งรู้สึกเขินอายและโกรธมากจนไม่สามารถทนหลับต่อไปอีกได้


 


"ฉันได้ยินทุกอย่างแหละ!! ฉันไม่ได้หลับใหลขนาดนั้น


แต่ฉันไม่อยากตื่นมาร่วมพิธีมัดมือ แกเข้าใจมั้ย?.......


คนจะหลับจะนอน ยุ่งจริงๆเลย!!


ตื่นก็ได้!! โอ๊ย!!  เบื่อจริงๆคนบ้านเมืองนี้" แล้วเธอก็ตื่นมาร่วมพิธี ชาวบ้านต่างก็ร้องเฮดีใจกันทั้งเมือง 


 


"นี่ข้าจะได้ลูกเขยเป็นเด็กกำพร้าผู้รักอิสระไม่เอาการเอางานคนนี้เหรอวะ!? อายชาวบ้านชาวเมืองแย่เลย" เจ้าเมืองครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจบางอย่าง