Skip to main content

หน่อทีเด็กดีแห่งนู่เจียง

คอลัมน์/ชุมชน

วันเวลาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้นำพาคนเราไปสู่เรื่องราวต่างๆ มากมาย เรื่องราวบางเรื่องราวมีทั้งความร้าวราน และความยินดีในเวลาไม่ต่างกัน แต่ละเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางทีก็ขมขื่น บางทีก็เจ็บลึก ความเจ็บลึกของมันยิ่งกว่าการเหวี่ยงค้อนจากมือข้างหนึ่งฟาดลงไปยังเป้าหมาย แต่ทว่าพลาดพลั้งเป้าหมาย และหัวค้อนอันหนักหน่วงบวกแรงเหวี่ยงก็ถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่ง นั้นแหละคือตัวอย่างหนึ่งของความปวดร้าวที่เดินทางมาถึงอย่างไม่ได้ตั้งตัวและตั้งใจ


 


หน่อทีก็เช่นกัน - หน่อทีเด็กหญิงในวัยที่ความเป็นเด็กหญิงใกล้ลาจากไป ความปวดร้าวของเธอมีมากกว่า-กว่าการเหวี่ยงค้อนจากมืออีกข้างหนึ่งพลาดพลั้งไปถูกนิ้วมืออีกข้างหนึ่ง ความปวดร้าวของหน่อทีไม่อาจรักษาได้ด้วยวันเวลาและรักษาด้วยยาขนาดใดๆ แต่ความปวดร้าวของหน่อทีจำต้องรักษาด้วยความเป็นคน-ความเป็นคนของรัฐโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เพราะเหตุผลนี้แหละจึงจะรักษาบาดแผลของความปวดร้าวของหน่อทีได้


 


เรื่องราวความปวดร้าวของหน่อที มันเริ่มขึ้นมาพร้อมๆ กับเธอลืมตาตื่น และส่งเสียงร้องทักทายผู้ให้กำเนิด-ทักทายโลก เธอลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กับการเดินทางไกลของสายรกที่ถูกตัดขาดแล้วถูกเก็บงำไว้อย่างดีในกระบอกไม้ไผ่ และถูกนำไปผูกแขวนไว้กับต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน-เรื่องราวเหล่านี้มันคือประเพณี ความเชื่อของเผ่าพันธุ์ที่กระทำสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน


 


ตามความเชื่อของชุมชนแล้ว เด็กที่เกิดมาทุกคน บิดา-มารดาต้องเอาสายรก ซึ่งถูกตัดขาดจากตัวเด็กไปผูกไว้กับต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง เพื่อให้เด็กคนนั้นได้รักษาต้นไม้ที่แนบชิดอยู่กับสายรกของตัวเอง นั้นแหละจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหน่อทีจึงต้องเอาใจใส่และรักษ์ต้นไม้ต้นหนึ่งในป่าท้ายหมู่บ้านเป็นพิเศษ


 


การเดินทางไกลของสายรกของเด็กหญิงคนหนึ่ง มันคือเรื่องเล่าที่ต้องจดจำและเล่าสืบต่อกันไปจนชั่วลูกชั่วหลาน


 


หน่อทีถือกำเนิดในชุมชนในป่าที่มีบ้านเรือนไม่มากนัก ชุมชนที่หน่อทีถือกำเนิด ทุกคนต้องรู้จักการทำไร่ การทอผ้า และเรื่องราวอื่นๆ ด้วยตัวเอง เพราะการจะไปซื้อข้าวจากภายนอก มันเป็นเรื่องยากที่คนในชุมชนของหน่อทีจะกระทำกัน และเงินตราก็ดูเป็นสิ่งหาได้ยาก มันหายากยิ่งกว่าการเดินเข้าไปในป่า เพื่อเลือกไม้ไผ่ลำสวยๆ มาสานเป็นตะกร้า


 


ในวัยเด็กพอรู้เหนือรู้ใต้ หน่อทีก็เริ่มรู้จักเรื่องราวต่างๆ ของชุมชน แล้วหน่อทีจึงได้ตั้งคำถามว่า ทำไมชุมชนของเธอต้องปลูกข้าวกินเอง? แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีหน่อทีจึงรู้ว่าข้าวไร่ทำไมจึงสำคัญกว่าเงินมากมายหลายเท่านัก...


 


ในวันที่หน่อทีได้เรียนรู้ว่าทำไมข้าวจึงสำคัญกว่าเงิน เธอก็พบว่า กว่าข้าวหนึ่งเมล็ดจะงอกงามบนพื้นดินได้นั้น มันยากลำบากเพียงใด!


 


เพราะข้าวสำคัญกว่าเงินนั้นแหละ ในยามเก็บเกี่ยวผลผลิต คนในชุมชนจึงเก็บข้าวที่ได้จากไร่นาของตนส่วนหนึ่งไว้ตอนรับแขกผู้มาเยือน มิตรภาพไม่ได้ซื้อด้วยเงินจึงเกิดขึ้นด้วยข้าว


 


เพราะความที่หน่อทีเกิดในชุมชนในป่านี่เอง เรื่องราวแห่งความปวดร้าวของเธอจึงเกิดขึ้น บางทีมันอาจไม่ใช่ความผิดของเธอ และมันไม่ใช่ความผิดของพระผู้เป็นเจ้าพระองค์ใดที่ส่งเธอมาให้กำเนิดในท้องของมารดาที่อาศัยอยู่ในผืนป่า เธอไม่เคยโทษใคร และไม่เคยโทษชะตากรรมใด-การที่เธอไม่กล่าวโทษชะตากรรม เธออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชะตากรรมแปลว่าอะไร และโปรดอย่าถามเธอถึงเรื่องราวเหล่านั้นเลย เอาเป็นว่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในวัยที่เธอพอรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้นั้น ในบางครั้งน้ำตาของเธอมันก็ไหลหลั่งออกมาเอง เหมือนสายน้ำในถิ่นกำเนิดของเธอ ไหลหลั่งในยามหน้าฝน เมื่อคิดถึงมัน


 


ในวัยเยาว์ หน่อทีไม่เคยเป็นทุกข์กับเรื่องราวของความปวดร้าวของเธอในตอนนี้ แต่เมื่อเลยวัยเยาว์มาแล้วนั้นแหละ ความปวดร้าวก็เดินทางมาสู่เธออย่างยากที่จะผลักไสมันออกไป มันเป็นเหมือนหนึ่งเงาตามตัว ที่คอยวิ่งไล่จับตัวคนสร้างเงาอยู่ตลอดเวลา ความปวดร้าวที่เกิดขึ้น หน่อทีไม่ใช่ผู้สร้าง แต่หนทางแห่งชะตากรรมกลับนำหน่อทีไปสู่หนทางแห่งความปวดร้าว-ขมขื่นและในที่สุดก็จมปลักอยู่กับมัน


 


นานมาแล้วเธอเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอจากคำพูดของใครบางคน หน่อทีจึงได้รู้ว่าเรื่องราวที่ได้รับฟังมานี้ มันไม่สู้จะดีนัก ใครบางคนบอกกับหน่อทีว่าเธอไม่ใช่คนไทย เธอเกิดกับใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่คนไทย เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิอะไรบนแผ่นดินนี้


 


ในวัยเยาว์เธอไม่เคยเข้าใจหรอกว่า คนไทยคืออะไร? แต่ในความเข้าใจของเธอ-เธอคือ


‘ปกาเกอเญอ-ที่แปลว่าคน’


 


สายน้ำยวมยามหน้าฝนไหลเชี่ยว-ขุ่นข้น และรุนแรง เหมือนโกรธเกรี้ยวต่อทุกสรรพสิ่งที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า มันจึงโถมทำลายอย่างบ้าคลั่ง และในที่สุดมันก็หยุดความบ้าคลั่งของมันลง เมื่อหน้าฝนพ้นผ่านไป จากสายน้ำที่ยิ่งใหญ่ในหน้าฝน หลังสิ้นหน้าฝนมันจึงกลายเป็นสายน้ำที่เชื่องช้า ไหลเอื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับคนสิ้นหวังในชีวิต


 


สายน้ำเป็นดุจเดียวกันกับวันวัยของเธอที่ผ่านฤดูกาลต่างๆ ไปอย่างรวดเร็ว จากวัยเด็กก็ก้าวเข้าสู่วัยสาว-นางสาว ในทุกเรื่องราวชีวิตที่เธอไม่ได้ลิขิต แต่เธอกับเป็นผู้เล่นกับมันอย่างอาจหาญ บางทีหากคนเราสามารถลิขิตชีวิตตัวเองได้ หน่อทีคงไม่ต้องเล่นและเจ็บร้าวกับเรื่องราวที่คนอื่นลิขิตให้กับชีวิตของเธอ


 


มันนานเท่าใดแล้วที่เธอเล่นกับชะตากรรมอันนี้ ๓ ปีหรือว่า ๔ ปีกันแน่ ดวงใจดวงน้อยเริ่มบอบช้ำในทุกขณะแห่งการหายใจเข้า-ออก แต่เรื่องราวที่เธอเล่นกับมัน-มันไม่เคยผันแปร มันยังเป็นอย่างที่เคยเป็นมาและหนักหน่วงขึ้นทุกที


 


หากเปรียบเทียบความปวดร้าวของหน่อทีว่ามันจะเทียมเท่ากับสิ่งใด-ความปวดร้าวที่เกิดขึ้นเทียมเท่ากับการโดนทิ่มแทงด้วยเข็มเล่มแหลมเล็กไปตามร่างกายกระนั้นหรือ-หรือว่าความปวดร้าวจากการถูกมีดอันคมกริบเฉือนตรงปลายนิ้ว


 


 



 


 


ในวันเด็กของปีที่ผ่านมา เธอได้ก้าวพาดวงใจของเธอกลับไปสู่ความร้าวรานอีกครั้ง บ้านที่จากมามันก็อ้าแขนรอรับการกลับของเธอด้วยรอยน้ำตา วันนั้นฉันจำเรื่องราวของเธอได้ดี เธอเป็นหนึ่งในเด็กหญิง-ชายหลายคนที่ร่ำไห้ในวันเด็ก ในขณะที่เด็กหลายๆ คนเริงร่าอยู่กับโลกของความเจริญซึ่งประดับประดาไปด้วยของเล่นบันเทิงเริงใจไร้สาระต่างๆ นานา


 


ขณะเด็กบางคนเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะของท่านผู้บริหารประเทศ แต่ความเยาว์ของเธอมันไม่เคยสำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอไม่ใช่คนที่ก้าวตามเทคโนโลยีที่เขาบอกว่าเธอต้องเท่าทัน


 


ในวันเด็กปีนี้ก็เช่นกัน มันเป็นวันที่เธอได้รู้ว่า เด็กไทยต้องขยันเรียน-ขยันอ่าน-กล้าคิด-กล้าพูด –กล้าทำ แต่คำพูดที่เธอกล้าพูดถึงเรื่องราวของเธอเหล่านั้น มันเป็นเหมือนกับปุยนุ่นบางเบาที่ลอยเคว้งไปตามสายลมแล้ง แม้เธอจะกล้าพูด-กล้าคิดเพียงใด แต่เรื่องราวที่เธอเล่าขานออกมากลับลาร้างเป็นอย่างเดิม


 


คำตอบของคำถามของเธอ-มันอยู่ในสายลม-สายลมที่ไขว่คว้าเอามาไม่ได้


 


แม้ในวันเด็กเธอจะสนุกสนานอย่างไร แต่ลึกๆ ลงไปในดวงใจดวงน้อยเท่าหนึ่งกำปั้นของตัวเอง มันกลับอับเฉา-เหงา-เศร้าและไร้จุดหมายปลายทางแห่งความหวัง


 


ในวันนั้น ฉันเห็นเธอ หน่อที เธอก้าวขึ้นมาบนเวทีแสดงของแสงสีในเวลาค่ำคืนที่ดาวตื่นเต็มฟ้า เธอนำพาดวงตาและดวงใจดวงน้อยๆ ของอีกหลายคนไปสู่ความรื่นเริงบันเทิงใจ แต่ความนัยนั้นเล่า เธอต้องการป่าวประกาศให้โลกและสายน้ำที่เธอจากมาได้รับรู้ว่า บรรดาเพลงที่เธอร้องก้องฟ้าทุกเวลานั้น มันไม่มีบทเพลงใดยิ่งใหญ่เท่ากับเพลงชาติไทย แต่ไฉนเล่า พวกเขาถึงกล่าวกันว่า ผู้ให้กำเนิดเธอไม่ใช่คนไทย เธอจึงยังไม่ได้สัญชาติไทย ทั้งที่เธอร้องเพลงชาติของประเทศไทยได้เพียงชาติเดียว


 


ลึกลงไปในดวงตาของเธอ-ลึกลงไปในสายน้ำที่ไหลล่อง สายน้ำไม่เคยแบ่งคนออกเป็นฝ่าย สายน้ำไม่เคยกั้นความสัมพันธ์ของกันและกันของผู้คน แต่สายน้ำได้ย้ำเตือนให้ผู้คนรักกันเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน


 


คนต่างหากที่แบ่งผู้คนด้วยกันเองออกเป็นฝ่าย...


 


วันเวลาที่ผ่านมา-ผ่านไปได้ให้อะไรเธอมากมาย-มากมายเสียเกินกว่าคนกลุ่มหนึ่งจะเข้าถึงมัน กับวันเวลาที่ยังหลงเหลือ จงอย่าเบื่อและสู้ต่อไป ในไม่ช้าการมาของสัญชาติไทยจะได้เป็นของเธอหน่อที-เด็กดีแห่งนู่เจียง และเมื่อวันนั้นมาถึง หวังว่าเธอคงไม่ลืมสายน้ำที่เธอจากมา ขอให้เธอได้กลับไปหามันบ้าง กลับไปเพื่อไปเล่าเรื่องราวความปวดร้าวอันหนักหน่วงของเธอให้กับแม่น้ำแห่งบ้านเกิดและราวไพรอันยิ่งใหญ่ได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้น-กลับไปเพื่อพักผ่อนบนดินแดนแห่งความไกลโพ้นและที่นั่นเธอจงกลบฝังความปวดร้าวของเด็กสาวลงสู่พื้นดิน เพื่อให้มันได้สงบนิ่ง และพักผ่อนอย่างเป็นนิรันดร์กับคืนวันที่จะผ่านไปในเวลาที่เหลือแห่งชีวิต...