เอกับการเป็นหญิงรักหญิงมุสลิม
คอลัมน์/ชุมชน
"ถามว่าการรักผู้หญิง ผิดไหม...การรักใครนะไม่ผิด อิสลามบอกตรง ๆ เลย คือมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานก็ผิด แต่ถามว่า คนเป็นหญิงรักหญิงแต่งงานกันคือ...มันไม่มีในหลักศาสนา"
นี่คือคำพูดของ "เอ" ผู้หญิงมุสลิมที่รักผู้หญิง
ฉันได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเอในวิทยานิพนธ์ของสุมาลี โตกทอง เรื่องการให้ความหมายและการต่อรองในชีวิตคู่ของหญิงรักหญิง* สุมาลีศึกษาชีวิตคู่ของหญิงรักหญิง 4 คู่ ที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างน้อย 5 ปี เพื่อทำความเข้าใจการให้ความหมายกับการเป็นหญิงรักหญิง และการต่อรองในฐานะหญิงรักหญิงกับสังคมรอบข้าง เอและคนรักเป็นคู่รักคู่หนึ่งที่สุมาลีศึกษา
เรื่องของเอในวิทยานิพนธ์นี้สะดุดใจฉันมาก เพราะเธอเป็นมุสลิมและเป็นหญิงรักหญิง สองอัตลักษณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นขนาน และกว่าที่เส้นสองเส้นนี้จะมาบรรจบกันได้ เอได้ผ่านความขัดแย้งในใจและหาทางคลี่คลายความขัดแย้งนั้น จนหาจุดลงตัวที่เธอสามารถผสานความรักและหลักศาสนาเข้าด้วยกันได้ในที่สุด ฉันขอนำเรื่องราวของเอจากวิทยานิพนธ์มาเล่าในที่นี้ เพื่อให้เป็นตัวอย่างและเป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างความรักและความเชื่อทางศาสนา...
เอเติบโตมาในครอบครัวมุสลิมทางใต้ พ่อของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เอยังเด็ก แม่เป็นผู้เลี้ยงเธอและพี่น้องอีก 8 คนด้วยการทำสวนยาง ครอบครัวของเธอมีฐานะยากจน เพราะแม่มีลูกมาก เธอจึงต้องช่วยงานที่บ้านทุกอย่าง
เอได้ศึกษาคัมภีร์และเรียนรู้วัฒนธรรมมุสลิมเช่นเดียวกับเด็กมุสลิมทั่วไป เธอยังรู้หลักการเป็นผู้หญิงตามวิถีของศาสนา เช่น เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นห้ามถูกเนื้อต้องตัวกัน ห้ามสบตากัน ห้ามมองหน้ากัน และห้ามอยู่กันสองต่อสองในที่ลับ เมื่อจะรักใครสักคน ต้องบรรลุนิติภาวะก่อน ถ้าชอบกันจริงผู้ชายจะต้องเป็นฝ่ายมาขอแต่งงาน ไม่มีการจีบกัน
ส่วนการรักเพศเดียวกันนั้น สิ่งที่เอเรียนรู้มาคือ
"จำคำสอนอันหนึ่งได้ เขาเรียกว่าเป็นวัจนะของท่านนบี มูฮำหมัด เขาบอกว่า ไม่อนุญาตให้เข้าสวรรค์สำหรับผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย หรือผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง ที่จำได้อันนี้ที่ชัด แต่กรณีที่ผู้หญิงไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่ว่ามาชอบคนที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน อันนี้เราไม่รู้ว่ามีคำสอนอยู่ตรงไหนหรือเปล่า แต่เรารู้ว่ามันเป็นบาปอยู่แล้วแหล่ะมั้ง เพราะว่า เราถูกสอนมาว่า...พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา มุสลิมส่งเสริมให้แต่งงานกันแล้วมีลูก เพื่อที่จะได้สร้างประชาชาติให้กับมุสลิมเยอะ ๆ แต่พอโตขึ้นก็มารู้ว่า...มันเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาสอนว่า ลูกผู้หญิงห้ามให้ห่มผ้าผืนเดียวกันนะ ในทัศนะอิสลาม ผู้หญิงที่นอนด้วยกัน ห้ามห่มผ้าผืนเดียวกัน"
สุมาลีให้ข้อมูลเสริมเรื่องหลักศาสนาในประเด็นนี้ว่า การเป็นชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง หรือที่เรียกว่ากะเทยนั้น ถือว่าเป็นความผิดมหันต์ อิสลามไม่อนุญาตให้เลียนแบบเพศตรงข้ามเพราะถือว่าจะนำไปสู่การเบี่ยงเบนทางเพศและเป็นกะเทย ท่านนบีได้ขอให้พระอัลลอฮ ̣ทรงสาปแช่งและขอให้คนเหล่านี้เป็นผู้ห่างไกลจากความเมตตาและความพึงประสงค์ของพระเจ้า โดยหลักศาสนาถือว่า พระเจ้ากำหนดให้ผู้ชายสมสู่กับผู้หญิงเพื่อการสืบพันธุ์ ฉะนั้น การเป็นกะเทยจึงเป็นสิ่งที่ทำลายโครงสร้างสังคม มีข้อห้ามที่บันทึกไว้ว่า "ผู้ชายจะต้องไม่มองสิ่งพึงสงวนของผู้ชายด้วยกัน และผู้หญิงจะต้องไม่มองสิ่งพึงสงวนของผู้หญิงด้วยกัน และผู้ชายจะต้องไม่นอนเปลือยกายกับชายอีกคนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน และผู้หญิงจะต้องไม่นอนเปลือยกายร่วมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวเช่นกัน"
ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ เอจึงรู้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นตัวเองก็ต้องแต่งงานมีลูก ตามหน้าที่ของอิสลาม และแน่นอนว่าเอได้ซึมซับว่าการรักเพศเดียวกันนั้น เป็นสิ่งที่ผิดหลักศาสนา
ถ้าเอมีชีวิตเช่นนั้นได้ ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่แล้วหัวใจของเธอกลับไม่ทำตามความเชื่อที่เธอยึดถือ
ในตอนแรกเธอก็ยังไม่รู้ว่าเธอชอบผู้หญิงได้ แต่ตอนที่เรียนอาชีวะนั้นเธอเริ่มรู้สึกชอบผู้หญิง เอสนใจรุ่นพี่ผู้หญิงที่เป็นทอม จนได้สนิทสนมกัน แต่เอมาทราบภายหลังว่าจริง ๆ รุ่นพี่คนนี้มีแฟนแล้ว เธอจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับครูที่เป็นคนในอำเภอเดียวกัน ครูบอกว่า "การชอบกัน เป็นสิ่งผิด"
เอจึงบอกตัวเองว่า การชอบทอมเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นสิ่งผิดปกติ เอตั้งใจที่จะกลับตัวกลับใจ และตัดการติดต่อกับรุ่นพี่คนนั้น
แต่ในที่สุดเธอก็รู้สึกชอบเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งจนได้ ครั้งนี้เธอกล้าบอกกับเพื่อนว่าเธอชอบเขา แต่เพื่อนกลับบอกมาว่าเขาไม่ใช่ทอม ความชอบของเอจึงต้องยุติลงเพียงเท่านั้น
ความสัมพันธ์แบบแฟนครั้งแรกและเป็นครั้งที่ยาวนานจนกระทั่งทุกวันนี้เกิดขึ้นเมื่อเอทำงานแล้ว เอชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่มาจากกรุงเทพ แต่ลงไปทำงานทางใต้แทบจะทุกเดือน แม้จะได้ติดต่อกับเธอคนนี้เป็นระยะ แต่เอก็ยังลังเลเพราะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด
"มันผิดไง เรารู้สึกว่ามันผิดหลักศาสนา เรารู้สึกแบบนั้น แต่ใจหนึ่งเรารู้สึกว่าเราชอบใครเราก็รักไปเลย...จริง ๆ แล้วคือบาป"
เอตัดสินใจปรึกษาพี่คนหนึ่งที่เป็นมุสลิมเหมือนกัน คำตอบที่ได้รับคือ "มันเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ควรเกิดขึ้น" พี่คนนี้ยังบอกให้เอ "ยุติความคิดเหล่านี้เสีย"
อีกครั้งแล้วที่ความรู้สึกของหัวใจขัดแย้งกับหลักศาสนาที่หล่อหลอมเธอขึ้นมา
แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของเธอรุนแรงเกินกว่าความคิดจะมาหยุดยั้งได้ แทนการปรึกษาคนอื่น ๆ เอเลือกที่จะใช้วิธีการใหม่นั่นคือ สื่อสารความรู้สึกของตนเองให้พระเจ้ารับฟังโดยตรง
"คือมนุษย์สามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้ คือจริง ๆ แล้วเรารำลึกถึงอัลเลาะห ̣ เราก็ไม่รู้ว่า พระองค์จะตอบสนองเราอย่างไร สิ่งที่คนที่นับถืออิสลามถูกสอนคือให้รำลึกถึงพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าพระองค์จะตอบสนองท่านอย่างไร จะทำอะไรก็คือนึกถึง การสื่อสารก็คือการขอพร"
เอเชื่อว่าพระเจ้าคงเห็นใจและเข้าใจ
ผลจากการสื่อสารให้องค์อัลเลาะห ̣ได้รับรู้ความรู้สึกของตนเอง ทำให้เอเชื่อมั่นกับความรู้สึกที่มี และเลือกที่จะยอมรับความหมายของความรักว่าเป็นสิ่งที่ดี
"เราไม่ได้รู้สึกว่าเราทำอะไรร้ายแรง เออ เราไม่ได้ทำอะไรที่เรียกว่าบาปมาก ไม่ได้เนรคุณพ่อแม่ เราก็เลยไม่ค่อยรู้สึกไม่ดีกับความเป็นหญิงรักหญิงกับการนับถืออิสลาม"
เอต่อรองกับหลักศาสนาว่า การละเมิดนี้ไม่ใช่สิ่งร้ายแรง เพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่าคือการยึดมั่นในหลักการอื่น คือ การเป็นลูกสาวที่ดี มีความกตัญญูและศรัทธาต่อคำสอน และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคน ย่อมมีสิ่งที่อาจจะละเมิดบ้างเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ยังคงรักษาหลักการสำคัญไว้
จุดนี้เองที่ทำให้เอสามารถผสานความรักเข้ากับการเป็นมุสลิมได้ เอเดินหน้าสานสัมพันธ์กับผู้หญิงจากกรุงเทพคนนั้น จนกลายเป็นคู่รัก เอมีความเชื่อว่า
"การรักกันเป็นสิ่งไม่ผิด แต่ของมุสลิม มันผิดตรงเพศสัมพันธ์ ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งเราเลิกการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน หรือกับใครก็ตามมันก็จะไม่ผิดแล้ว... อันนี้ถ้าถามว่า จะเลิกกันไหมก็ตอบไม่ได้ แต่ก็พยายามที่จะไม่ให้ตัวเองห่างจากศาสนา เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มากับเราตั้งแต่เกิด แล้วเราก็เชื่อและศรัทธาอย่างนี้ แต่คนเราก็มีทำผิดกันทุกคนนะ ผิดต่อศาสนาต่อพระเจ้า ทุกคนก็ทำผิดกันได้ แต่ถามว่าจะทำผิดอย่างนี้ตลอดไปไหม ถามว่าการรักผู้หญิงผิดไหม... การรักใครนะไม่ผิด อิสลามบอกตรง ๆ เลย คือมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานก็ผิด แต่ถามว่า คนเป็นหญิงรักหญิงแต่งงานกันคือ...มันไม่มีในหลักศาสนา"
ถึงวันนี้ เอยังคงดำรงชีวิตตามวิถีมุสลิมและดูแลแม่ที่ป่วย ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคบกับแฟนคนนั้น ซึ่งความสัมพันธ์ยาวนานมากว่า 7 ปี แล้ว ชีวิตคู่ของเอก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอมา แต่เอก็ใช้ความอดทนประคองชีวิตคู่ให้ก้าวต่อไปให้ได้ แม้บางครั้งจะมีเสียงรอบข้างบอกว่าชีวิตคู่อย่างนี้มันไม่ยั่งยืนหรอก แต่เอจะบอกคนเหล่านั้นว่า มันจะยั่งยืนหรือไม่มันอยู่ที่เรา ถ้าเราอยากจะให้มันยั่งยืน เราก็ต้องทำให้มันยั่งยืนให้ได้ และเธอก็พิสูจน์คำพูดนี้ด้วยการกระทำของเธอเองตลอด 7 ปี ในการใช้ชีวิตคู่
ฉันประทับใจในเรื่องราวของเอมาก เพราะจากคนที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งในใจ วันนี้เธอมีทั้งศรัทธาในศาสนาและศรัทธาในความรัก
เอกล่าวทิ้งท้ายไว้ในวิทยานิพนธ์ถึงอนาคตว่า "เป้าหมายก็วางไว้ว่า..จะอยู่ด้วยกันตลอด ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็อยากอยู่กับคนนี้"