Skip to main content

สัญญาณเตือน

คอลัมน์/ชุมชน

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13-14 มีนาคม 2550 ซึ่งถือเป็นวันวิกฤตที่สุด กับสภาพอากาศภายในเมืองเชียงใหม่ เป็นวันที่คนในเมืองอยู่ในสภาวะหายใจไม่ออก เพราะปริมาณออกซิเจนลดน้อยลง เนื่องจากหมอกควันถูกอากาศเย็นกดทับอยู่เบื้องบน ระบายไปไหนไม่ได้ คนที่อยู่บนผืนแผ่นดินล้านนา "วนานคร" ของพญามังรายก็กลายเป็นหมูรมควัน


 


จากมนุษย์ไฮเปอร์ ก็กลับกลายเป็นคนที่ต้องเคลื่อนไหวช้า อยู่กับลมหายใจเข้าออก พยายามจินตนาการว่าขนจมูกของเราจะกรองอะไรออกไปได้บ้าง ความอึดอัดเริ่มมาเยือนจนตระหนักได้อย่างแน่แท้ว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเอ็งตายแน่ เอ็งตายแน่ ๆ


 


สองวันที่นอนหลับตอนกลางวันแล้วตื่นขึ้นมาในสภาพอ่อนเพลีย เดินช้าลง จนวันที่ 14 เดินมาหาเพื่อนก็พบว่าเพื่อนอยู่ในสภาพอ๊อกแอ๊ก เจ็บหน้าอก เธอหนักกว่าฉันเพราะเป็นภูมิแพ้อย่างแรง อากาศปกติเธอก็แทบต้องฟอกอากาศอยู่แล้ว  ในสภาวะโลกใบใหญ่ที่สิ่งเล็ก ๆ มีอานุภาพอย่างวันนี้ เธอจึงแทบหมดสภาพ ต้องพากันย้ายบ้านไปเปิดแอร์นอน และคิดว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องเชียงใหม่ราม


 


ฉันไม่ชอบทำสมาธิก่อนนอน เพราะหัวถึงหมอนก็หลับได้เกือบทันที แต่สองสามวันมานี้ ก่อนหลับต้องสำรวจระบบการหายใจของตัวเองก่อนว่าอยู่ในสภาพไหน สองคืนวิกฤตนั้นรู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอก ตอนแรกปิดหน้าต่างปิดประตูนอนก็กลัวขาดอากาศหายใจ  จึงแง้มไว้นิดหน่อย อากาศหนาวก็ไม่ได้เปิดพัดลม  ช่องเล็ก ๆ ที่แง้มไว้นั้น กลายเป็นช่องให้เจ้าตัวเล็กคืบคลานเข้ามาในห้อง เหมือนสัตว์ประหลาดขนาดเล็กที่กดทับลมหายใจไว้ ต้องปิดประตูแล้วเปิดพัดลมจึงนอนได้  ก่อนนอนหวั่นใจนิด ๆ กลัวว่าตัวเองจะขาดอากาศหายใจแล้วหลับไปไม่ตื่นขึ้นมาอีก


 


หมอกควันลอยผ่านไปมากแล้ว แต่ทุกวันนี้ต้องระวังลมหายใจ ตรวจสอบตัวเองตลอดว่าอึดอัดไหม และพกที่กรองอากาศติดตัว


 


นั่นคือสภาพของฉันในวันวิกฤต เป็นวันที่ถือว่าธรรมชาติได้สั่งสอนมนุษย์ด้วยของจริงว่าที่เห็นและเป็นอยู่นั้น สู้เจอของจริงไม่ได้  ฉันรู้สึกว่าเทศบาลเป็นที่พึ่งของคนเชียงใหม่ได้ก็คราวนี้  เพราะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน หายใจจากอากาศเดียวกัน "ตกน้ำหัวเพียงกัน" หมดทุกคน ถ้าออกมายืนข้างนอก


 


การทำงานของภาครัฐเป็นไปด้วยความเชื่องช้า  รอแก้ไขแบบบูรณาการ  ตั้งคณะกรรมการ  ประชุม  พิจารณา ในขณะที่ทุกวินาทีของอากาศที่ประชาชนสูดเข้าไปในสามวันนั้นไม่มีโอกาสตั้งคณะกรรมการ หรือเรียกประชุมก่อนสูดลมหายใจ พิจารณาได้ แต่เลือกไม่ได้ 


 


น้องปิ่นเด็กข้างบ้านเพื่อน ซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้น นอนเลือดกำเดาไหล  น้องแบ็งค์เด็กข้างบ้านฉันน้ำตาไหลจับคราบเป็นวงสีดำรอบดวงตา คนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่วิกฤตจะไม่รู้และคิดไม่ออกว่าเราสภาพใกล้ตายแบบค่อย ๆ หมดแรงไปทีละน้อยนั้นเป็นอย่างไร  เหมือนที่มีคนบอกว่าเราเว่อร์  วิตกจริต  ฟูมฟาย  จนพี่น้องจะทะเลาะกัน


 


หลังลมร้ายผ่านไป คนเชียงใหม่ตระหนักถึงอากาศมากขึ้น เห็นใครเผาหญ้าเผาขยะแล้วรู้สึกทนไม่ได้  ปัญหาของบ้านเราคือคนไม่รู้ก็ไม่รู้จริง ๆ อยู่ในเมืองยังไม่รู้เลยค่ะ  ในภาวะต้องปิดปากปิดจมูกอยู่นั้น ยังมีรถตู้จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ติดเครื่องเปิดแอร์รอท่านทั้งหลายที่มากับรถซึ่งกำลังเดินออกมาจากร้านอาหาร  คือไม่รู้อะไรเลย แม้ว่าจะมีคนครอบจมูกด้วยที่กรองอากาศยืนมองเขาอยู่  ภารโรงที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก็ยังเผาหญ้าแห้งตอนเช้าก่อนวันวิกฤต  กาดซุ่มมืดหน้ากาดสวนแก้ว ก็ยังมีปิ้งย่างควันโขมงท้าทายลมหายใจยิ่งนัก เห็นแล้วก็เซ็งจิต นึกถึงคำของ อ.นิธิ ขึ้นมาทันทีว่า จะอยู่เชียงใหม่ให้มีความสุข ต้องรักคนเชียงใหม่ก่อน


 


...............


 


ฉันว่างานนี้เป็นฝีมือพระเจ้าแน่ ๆ แอบมาตบกะโหลกมวลมนุษย์ว่านี่แน่ะ บอกยากบอกเย็นนักใช่ไหม ไม่สนใจเลยใช่ไหมต้นไม้ใบไม้ อากาศดี ๆ  ไม่รักษาเลยใช่ไหม แบบนี้ต้องเจอของจริง  จะได้จำไว้มั่ง จำหรือยังล่ะ ?


 


 



ยอดเจดีย์วัด


 



หน้าโรงพยาบาลสวนดอก


 



ถนนหนทาง


 



ออกจากสนามบิน


 



นาถั่วเหลืองที่แม่ริม


 



ถนนกลางทุ่งนา


 



ห้าโมงเย็น


 



ไร้รัศมี


 



ไม่รู้ว่าสัตว์จะเป็นยังไงในวันมัว ๆ


 



อุปกรณ์ประจำตัว หน้ากากกรองฝุ่นขนาดเล็ก น้ำเกลือกับไซริงสำหรับล้างจมูก ช่วยได้เยอะ