Skip to main content

หากินถิ่นมาเลเซีย (1)

คอลัมน์/ชุมชน

Say no to porn. !!!  ป้ายที่เขียนไว้ด้วยภาษาอังกฤษแผ่นนี้ เขาตั้งใจจะบอกอะไรแก่คนของเขา


 


ออกจากสถานีรถไฟเคแอลเซนทรัล เดินลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆ มุ่งสู่วัดพุทธแบบมหายาน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิด ตั้งใจว่าจะเดินทอดน่องชมบ้านเมืองให้นานที่สุด และหากเป็นไปได้ก็อยากไปกราบพระในวัดต่างๆ ที่น่าสนใจ ด้วยการอาศัยสองเท้าบ้างและโดยสารรถไฟสายในเมืองบ้าง รถไฟที่นี่จะแล่นแบบลอยฟ้าสลับมุดใต้ดินเป็นบางช่วง ช่วงที่อยู่ใต้ดิน สถานีที่จอดอยู่ใต้ตึกแฝดเปโตรนาส ที่สูงที่สุดในโลก


 


เมืองกัวลาลัมเปอร์ ไม่กว้างไม่แออัด เหมือนกรุงเทพฯ ประชากรแค่สี่ล้าน ถนนและผังเมืองที่ออกแบบไว้สำหรับการขยายตัว จึงทำให้การเดินทางสะดวกทุกวิธี ดูในแผนที่ วางแผนเลือกลงสถานีที่ใกล้วัดนั้นๆให้มากที่สุด แล้วใช้วิธีเดินเอาบ้าง น่าจะมีความสุขกว่า ที่วัดนี้จึงเป็นเป้าหมายแรก


 


เดินเลียบถนน เลาะกำแพงของอาคารสูงที่มีหน้าตาคล้ายอพาร์ตเม้นต์ ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวสามชั้น น่าจะเป็นร้านค้าเหมือนบ้านเรา เจ้าถิ่นละแวกนี้หน้าตาละม้ายไปทางอินเดียเสียส่วนใหญ่ และในแผนที่บอกไว้ว่าบริเวณนี้ มีทั้งวัดพุทธ คริสต์และฮินดูอยู่ใกล้ๆ กัน


 


แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ในบริเวณวัดเงียบสงบ ตรงลานวัดไม่มีคนเดินอยู่เลยสักคนเดียว บริเวณวัดแคบๆ มีอาคารเป็นตึกหลายชั้น แต่ที่วิหารด้านหน้าแยกเป็นสัดส่วน ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จึงเข้าไปกราบแล้วนั่งสมาธิเป็นเวลาพอสมควร จนกระทั่งมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมากราบพระ จึงออกจากสมาธิ แล้วกราบลาท่านเดินออกมา


 



 


ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่แถวนั้นสักครู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น บังเอิญหันไปสบสายตาพระภิกษุหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องกระจกที่เขียนไว้ว่า "สำนักงาน" จึงพนมมือไหว้ท่าน และก็ตามธรรมเนียมทั่วไป ที่เจ้าถิ่นมักจะถามว่ามาจากไหน เรียนท่านไปแล้ว จึงถามว่าจะทำบุญได้ที่ไหน ท่านชี้เข้าไปข้างใน


 


ในห้องเล็กๆ เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ มีหญิงชายวัยสี่สิบกว่าๆ สองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทั้งคู่ส่งยิ้มมาให้อย่างใจดี คงมองเห็นตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาในวัดแล้ว แต่ฉันไม่เห็นพวกเขาเพราะฝาพนังเป็นกระจกสีเข้ม


 


แจ้งความประสงค์ว่าอยากจะทำบุญ วันนี้เป็นวันเกิด ผู้หญิงเดินอ้อมโต๊ะมาโอบไหล่ฉันอย่างดีใจ และยิ่งเมื่อรู้ว่าฉันเดินมาจากสถานีรถไฟ เธอยิ่งตกใจร้องโวยวาย จนฉันแปลกใจว่าทำไมฉันจะเดินข้างถนนไม่ได้ แม้คนประเทศนี้เขาไม่ชอบเดินถนนกันก็ตาม เพราะจะต้องเดินทำไมในเมื่อรถยนต์ผลิตเองในประเทศราคาแสนถูก น้ำมันยิ่งถูกกว่าไทยหลายเท่า รถเมล์ก็สะดวก รถไฟสายในเมืองก็ยิ่งสะดวก ราคาไม่แพง แต่ฉันเป็นนักท่องเที่ยว ฉันควรจะเดินชมบ้านชมเมืองไม่ได้หรือ


 


"ไม่ด้ายยยย" ถ้าเป็นภาษาไทยน้ำเสียงเจนนี่ต้องลากยาวแบบนี้


ผู้ชายช่วยย้ำ ทำเอาฉันใจแป้ว ว่านี่ฉันเดินฝ่าดงโจรมาหรือไร


"ใช่ค่ะใช่ พวกฉกชิงวิ่งราวที่ขับมอเตอร์ไซค์ มีเยอะแยะในเมืองนี้"


"เอ่อ...แต่ฉันรู้มาว่ากฎหมายที่นี่เข้มงวดมากนี่คะ บทลงโทษค่อนข้างรุนแรง จึงคิดว่าเรื่องราวแบบนี้ไม่มีน่ะค่ะ"


 


มิตรใหม่ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันเอง แล้วเงียบเสียงลงอย่างอัตโนมัติ คงไม่รู้จะอธิบายให้คนแบบฉันหายเซ่อได้อย่างไร


"เอาอย่างนี้ดีกว่า วันนี้วันเกิดคุณ แล้วคุณก็มาจากเมืองไทย ให้เราเลี้ยงข้าวคุณหน่อยละกัน นี่ก็เที่ยงแล้ว" ฉันรีบปฏิเสธเพราะความเกรงใจ แต่เจนนี่รวดเร็วกว่า หันหลังเดินเข้าไปข้างในแล้วกลับออกมาพร้อมถ้วยข้าวต้มในมือ มันเป็นข้าวต้มเจที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา เธอบอกว่าถ้าอร่อยให้กินเยอะๆ ไม่ต้องเกรงใจเพราะมีอีกเหลือเฟือ


 


ขณะที่ฉันกินข้าวต้มไปแบบไม่เหนียมแล้ว มิสเตอร์เค เล่าว่าเมื่อปลายปีที่แล้วเขากับคณะราวๆ สี่สิบคน ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเกาะมหามงคลของแม่ชีบงกช ปีนี้ตั้งใจว่าจะไปกันอีก ฉันบอกว่า ฉันก็เพิ่งไปมาเหมือนกัน คุณเคจึงดีใจใหญ่เลย ราวกับเจอญาติธรรมตัวจริง


 



 


วันเกิด การไหว้พระและการเดินข้างถนนในมาเลเซีย ทำให้ฉันเจอคนดีๆ ตั้งสองคน น่าจะคุ้มค่ากับชีวิต แต่ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนออกมาเจนนี่ยังปลดสร้อยข้อมือที่ทำจากโลหะสีทองล้อมเม็ดทับทิมเล็กๆ เป็นสายมาใส่ให้ฉัน ทั้งๆ ที่ฉันปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่เธอบอกว่าอย่าคิดมากเลย ราคาไม่แพงหรอก อยากให้เป็นของขวัญวันเกิด ฉันจึงรับมาด้วยหัวใจที่พองโต ความรู้สึกดีๆ แบบนี้ หล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ เท่านั้นยังไม่พอ คุณเคยังอาสาขับรถมาส่งที่วัดไทย เพราะฉันบอกว่าที่นั่นคือจุดหมายปลายทางต่อไป ทั้งเจนนี่เองก็ขอร้องให้ฉันใช้บริการ และเมื่อคุณเคอ้างว่ากำลังจะกลับบ้านที่เป็นทางผ่านพอดี ฉันจึงยอม


 


ไม่มีอะไรจะต้องแคลงใจว่าเขาจะเอาไปฆ่าหมกท่อที่ไหน เพราะสารรูปฉันบ่งบอกว่าเป็นคนเร่ร่อนหมอนหมิ่นมากกว่านักท่องเที่ยวกระเป๋าตุง  ตอนนั่งอยู่บนรถอันหรูหรา ......คุณเคส่งนามบัตรให้ ฉันอ่านแล้วอึ้ง เพราะเขาเป็นเจ้าของกิจการใหญ่ทั้งในมาเลเซียและสิงคโปร์ แต่มาเป็นอาสาสมัครอยู่ในวัดยามว่าง บนรถมีหนังสือธรรมทั้งภาษาอังกฤษภาษาจีน ตอนก่อนลงจากรถเขายื่นมาให้หนึ่งเล่ม บอกว่านี่คือหนังสือที่ถอดเทปมาจากคำสอนของอาจารย์ของเขา และหากไม่รังเกียจพรุ่งนี้ต้องการไปวัดไหน ให้โทรฯหาเขาอีกก็ได้ ยินดีบริการ แถมท้ายอีกว่าหากไม่รีบร้อนไปเมืองอื่น ให้ไปพักที่บ้านเขาก็ได้ ในครอบครัวมีกันสี่คน พ่อแม่ ลูกสาว และแม่ยาย


 


โหย...เหลือเชื่อ กุศลนี่ทันตาเห็นจริงๆ (ไม่หรอกนะ อาจเป็นความดีงามของคนไทยอื่นๆ ที่ทำไว้ ฉันเลยได้เสวยสุข)


 


กราบพระพุทธรูปในอุโบสถที่วัดไทย รู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านเกิดตัวเอง แต่คนค่อนข้างพลุกพล่านจึงไม่ได้นั่งสมาธิ แว่วเสียงคนไทยคุยกัน จึงเงยหน้าขึ้นดู เห็นพระภิกษุหนุ่มนั่งอยู่บนตั่งด้านขวา มีหญิงสาวแต่งตัวสวยเฉี่ยวนั่งอยู่ตรงหน้าท่าน ท่าทางจะสนทนาธรรม สักครู่ท่านประพรมน้ำมนต์ให้เธอ จึงเดินเลี่ยงออกมาทางประตู มีโต๊ะที่วางหนังสือธรรมสำหรับแจกญาติโยม บางเล่มเป็นภาษาไทย จึงหยิบขึ้นดู ส่วนใหญ่เป็นของท่านพระธรรมปิฏก


 


"มาจากไหนล่ะโยม" เสียงทักมาจากข้างหลัง พระภิกษุรูปนั้นนั่นเอง ท่านคงดูรู้ว่าเป็นคนไทย จึงบอกไปว่ามาจากทางใต้และเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ


"ดีแล้วโยม มาเที่ยวด้วยทำบุญกราบพระด้วย แต่ถ้าคิดมาทำงานที่นี่ก็ระวังหน่อยนะ ถ้าไม่ถูกกฎหมายของเขา จะโดนลงโทษหนักนะ" ท่านคงได้รับฟังปัญหาของคนไทยที่มาอาศัยอยู่ที่นี่มากมาย แต่ฉันเป็นแค่นักท่องเที่ยว แม้ไม่จริงทั้งหมด เพราะที่กำลังทำอยู่ก็คือการทำงานเหมือนกัน


 


เดินออกมาจากวัดอย่างตัวเบาสบายใจ จะเป็นเพราะย่านนั้นเป็นย่านคนรวยหรือเปล่าไม่รู้ เดินออกมาที่ถนนใหญ่ ไม่มีรถเมล์ผ่านเลยสักคัน ฝนเริ่มโปรยปราย ต้องมองหาแท็กซี่ ไม่อยากเปียกฝน รออยู่ตั้งนาน จึงเดินมาเรื่อยๆ คิดว่าสถานีรถไฟฟ้าคงอยู่ไม่ไกล ยิ่งเดินยิ่งเปียกโชก รถแท็กซี่ก็หายาก มีแต่รถยนต์ส่วนตัววิ่งสวนไปมา รู้สึกตัวเองเหมือนตัวประหลาด เปียกปอนโดดเดี่ยวข้างถนน


 


แอบพิจารณารสนิยมคนมาเลเซียในการสร้างบ้าน ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ มีสนามหญ้าหน้าบ้าน รั้วเตี้ยๆ มีไม้เลื้อยคลุมมิดชิดลดความกระด้างของซีเมนต์ ไล่สายตาไปเรื่อยๆ  เอ๊ะ!! .....ป้ายเล็กๆ ไกลๆ ตรงสี่แยกนั่น โอ!...คุณพระช่วย ใจหายวาบ ฉันรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่มีวันเป็นอย่างนั้นได้


 


นึกถึงคำพูดของหลวงพี่รูปนั้น แล้วมันจะเกี่ยวข้องกันไหมนี่กับป้ายที่เขียนว่า


 


Say no to porn.!!


 


สมองฉันเชื่อมโยงมันเข้าอย่างอัตโนมัติ เพราะว่าตอนนั่งแท็กซี่จากสนามบินเข้ามาในเมือง ได้คุยกับคนขับแท็กซี่หนุ่มใหญ่ ผิวสีเข้มหน้าตาก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ท่าทีออกจะสุภาพด้วยซ้ำ  ถามเขาว่าเคยไปเมืองไทยไหม เขาตอบว่าเคยไปแถวชายแดน ที่ๆ คนโสดเขาไปกัน...แค่นี้ฉันก็รู้ความหมาย ตกใจเล็กน้อยที่เขากล้าบอก หรือเขาคิดว่าสำหรับเราเป็นเรื่องธรรมดา


 


"คุณยังโสดเหรอ" สุ้มเสียงแปลกใจจนเขาหัวเราะ อธิบายให้คนโง่ๆ อย่างฉันเข้าใจว่า


"การแต่งงาน การมีครอบครัว ต้องใช้เงินเยอะมาก ผู้ชายที่นี่จึงแต่งงานยาก ผมขับแท็กซี่ก็แค่เลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น ไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียหรอก"


 


เสียดาย ที่ฉันมาเจอป้ายแผ่นนี้ทีหลัง ไม่อย่างนั้นจะสัมภาษณ์ให้ละเอียดเชียว